สรรพากรแจงลดอัตราหักค่าใช้จ่ายเหมา 60% สำหรับภาษีบุคคลธรรมดา เป็นการดำเนินตามมติ ครม.

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เห็นด้วยในการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในการคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร และเป็นการออกกฎหมายที่เป็นโทษจึงใช้ย้อนหลังไม่ได้นั้น กรมสรรพากรขอชี้แจงว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบในหลักการตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2559 ให้มีการปรับปรุงอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับเงินได้จากการรับเหมาและเงินได้จากการประกอบธุรกิจอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร จาก 60-85% เหลือ60% เพียงอัตราเดียว อย่างไรก็ดี หากผู้เสียภาษีมีหลักฐานค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีจำนวนค่าใช้จ่ายมากกว่า 60% ก็สามารถหักค่าใช้จ่ายตามหลักฐานนั้นได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร กรมอยากให้มีการหักค่าใช้จ่ายตามจริง เพื่อแสดงผลการประกอบการที่แท้จริงในการประกอบกิจการ

นายประสงค์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กรมสรรพากรมีการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้เสียภาษีเตรียมตัวในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 ได้แก่ การออกแถลงข่าวกระทรวงการคลัง การประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร การจัดอบรมสัมมนาภาษี รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ และคอลเซ็นเตอร์ของกรม เมื่อกระบวนการทางกฎหมายแล้วเสร็จ พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 629) พ.ศ. 2560 กำหนดให้เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร สามารถหักค่าใช้จ่ายเหมาได้สูงสุดไม่เกินอัตรา 60% โดยให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2560 ที่จะต้องยื่นรายการใน 2561 เป็นต้นไป จึงได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ซึ่ง กฎหมายดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของเงินได้ตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งปี ภายในเดือนกันยายน 2560 และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปีภายในเดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นไป จึงไม่ได้เป็นการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังแต่อย่างใด

นายประสงค์ กล่าวว่า ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) เรื่อง กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้กำหนดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีเงินได้ตามมาตรา 40(5) (6) (7) (8) แห่งประมวลรัษฎากร จัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่าย ซึ่งเป็นการจัดทำบัญชีอย่างง่ายด้วยตนเองดังนั้นผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ตาม มาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร แม้ว่าในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเลือกหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการเหมาก็ตาม มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ-จ่ายซึ่งใช้แสดงรายการการรับและจ่ายเงินในการประกอบกิจการอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2549 ซึ่งหากผู้เสียภาษีเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง ผู้เสียภาษีสามารถใช้รายงานเงินสดรับ-จ่ายดังกล่าว เป็นหลักฐานประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

อย่างไรก็ตามหากผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ตาม ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามจริง หากได้จ่ายค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการประกอบการ แต่ผู้รับเงินไม่ยอมออกหลักฐานการรับเงิน รวมถึงไม่ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้ได้รับเงิน ผู้เสียภาษีสามารถจัดทำใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานการจ่ายเงิน โดยให้ผู้เสียภาษีเองเป็นผู้รับรองการจ่ายเงินดังกล่าว ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายนี้เป็นการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดทำบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินเพื่อให้ทราบฐานะในการประกอบการของตน ทั้งทางด้านรายได้ ต้นทุน และกำไรหรือขาดทุน ซึ่งจะเป็นการช่วยให้สามารถแข่งขันได้ในยุคการค้าไร้พรมแดน รวมถึงเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษี ให้สอดคล้องตามผลการประกอบการที่แท้จริงอีกด้วย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image