ที่มา | ส.พลายน้อย |
---|---|
ผู้เขียน | คอลัมน์ จิปาถะ |
รามเกียรติ์ของเขมรที่เล่ามาข้างต้น ต่างไปจากรามเกียรติ์ของไทย และยังมีความต่างกันอีกหลายประการ จะได้เล่าต่อไปเพื่อเป็นการเปรียบเทียบ เพราะบางท่านก็ไม่เคยรู้มาก่อน
เมื่อท้าวราพณาสูรรู้ว่าพิเภกไปอยู่กับพระรามก็ยิ่งกริ้วโกรธดาลโทสะ ไม่มีใครกล้าชี้แจงแสดงเหตุผล มีแต่นางมณโฑคิรีเท่านั้นที่กล้าทูลว่าเป็นความผิดของเจ้ากรุงลงกาเองที่ไปลักพานางสีดามา พิเภกแนะนำในสิ่งที่ถูกกลับเอาฉลองพระบาทตบศีรษะพิเภกๆ จึงได้หนีไป
คำชี้แจงของนางมณโฑยิ่งทำให้ท้าวราพณาสูรโกรธยิ่งขึ้น และกล่าวเป็นเชิงดูหมิ่นกองทัพพระรามว่ามีแต่ลิงกินผลไม้จะมีฤทธิ์เดชอะไร เพียงแต่ให้ทหารไปรักษาป่าไม่ให้ลิงมาเก็บผลไม้ไปกินได้ ลิงก็หมดแรงเสียแล้ว
เพื่อให้การตัดเสบียงเป็นไปตามแผน เจ้ากรุงลงกาได้สั่งให้ รักขเสนเสนา นำพลยักษ์นับแสนไปรักษาป่า ฝ่ายพระรามก็ให้ รุกขระ นำพลลิงห้าหมื่นเข้าป่าเก็บผลไม้ ทั้งสองฝ่ายพบกันเข้าเกิดต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งรักขเสนและรุกขระตายทั้งคู่ พลยักษ์รอดชีวิตไปเพียงตนเดียง ได้ไปบอกอติกายและด้วยความเข้าใจผิดคิดว่ารุกขระเป็นหนุมานก็ขยายความต่อไปว่า เมื่อหนุมานตายพระรามก็ยกทัพกลับ อติกายเชื่อลูกน้องก็ไปทูลท้าวราพณาสูตรตามนั้น เจ้ากรุงลงกาก็พลอยดีใจไปด้วย สั่งให้ยกฉัตรชัยขึ้นบังแสงอาทิตย์ทำให้มืดมิดเหมือนกลางคืน
พระรามเห็นผิดสังเกตจึงถามพิเภกๆ ก็ทูลตามเหตุที่เกิดขึ้น พระรามจึงแผลงศร อาริทธจันท์ ไม่ทำลายฉัตรชัยของท้าวราพณาสูร เป็นเหตุให้เจ้ากรุงลงการู้ความจริงว่าที่อติกายรายงานนั้นไม่เป็นความจริง เพราะ ประเหตมนตรี โหรที่ทำหน้าที่แทนพิเภกรู้เรื่องตลอด ท้าวราพณาสูรจึงถามโหรว่าพระรามกำลังคิดจะทำอะไรต่อไป โหรก็ทูลว่ากำลังจะแผลงศรมาขอให้ระวังพระองค์พูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงดังสนั่นไหวั่นไหวไปทั่วทิศ
ท้าวราพณาสูรอยากสำแดงฤทธิ์ข่มพระรามบ้าง จึงประทับรถเทียบม้าพาสีดาเหาะทะยานขึ้นไปบนฟ้า พระรามเห็นก็ตามพิเภก พิเถกก็ทูลว่าที่นั่งหน้าคือเจ้ากรุงลงกา นั่งอยู่ข้างหลังคือนางสีดา พระรามได้ฟังก็กริ้วจะแผลงศรไปตรงๆ ก็จะเป็นอันตรายแก่นางสีดา จึงแผลงไปทางขอบจักรวาล แต่เสียงที่ดังกัมปนาทก็มีอำนาจทำลายราชรถของเจ้ากรุงลงกาหักพังยับเยิน ต้องให้พิษณุการมาเนรมิตราชรถให้ใหม่แล้วขับขึ้นไปใหม่ คราวนี้พระรามเพียงแต่เสกมนต์ชี้ไปที่ราพณาสูรทำให้เกิดลมในท้องสลบอยู่บนราชรถ สารถีต้องรีบขับรถกลับเข้ากรุงลงกา