ข่าวดีสำหรับสังคมไทย : โดย กลิ่นบงกช

การมีข่าวว่าสองพรรคใหญ่จะรวมตัวกันตั้งรัฐบาล โดยมีจุดประสงค์เพื่อกีดกันนายกฯที่เป็นคนนอกเป็นที่วิจารณ์กันทั่วเมือง บางคนก็พูดว่า มันจะเข้ากันได้อย่างไร ในเมื่ออยู่กันคนละขั้ว บางคนก็พูดว่า จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่ออุดมการณ์ต่างกัน สำหรับผู้เขียน มองไม่ออกเลยว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์อยู่คนละขั้วการเมืองอย่างไร และยังมองไม่ออกว่ามีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกันอย่างไร เพราะโดยความจริงแล้วแต่ละพรรคการเมืองล้วนมีจุดหมายเดียวกันคืออาสาประชาชนมาปกครองบ้านเมือง ไม่อยากจะพูดว่ามาหาอำนาจและผลประโยชน์ และแต่ละพรรคการเมืองต่างก็มีอุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของประชาชนเหมือนกัน เป็นแต่ว่าแต่ละพรรคมีวิธีการดำเนินการต่างกัน เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ดำเนินการเพื่อประชาชนตามระบบราชการคือเริ่มจากหน่วยเหนือลงมา แต่พรรคเพื่อไทยดำเนินการเพื่อประชาชน เริ่มจากความต้องการของประชาชนขึ้นสู่สภา

ถ้าจำกันได้ หลายปีที่ผ่านมา ตอนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มีสมาชิกประชาธิปัตย์ท่านหนึ่งอภิปรายในสภาว่า การทำงบประมาณจากความต้องการของรากหญ้าขึ้นสู่หน่วยเหนือนี้เป็นวิธีที่ดี มีประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง ข่าวว่าหัวหน้าพรรคครั้งนั้นตำหนิลูกพรรคที่ไปอภิปรายยกย่องฝ่ายรัฐบาล ถ้าเป็นจริงตามนี้ ก็แสดงว่าหัวหน้าพรรคมีจุดยืนว่า พรรครัฐบาลทำดีอย่างไร ก็ให้ตำหนิหรือเฉยลูกเดียว เพราะคิดกันแบบนี้ พรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านในเมืองไทยจึงแสดงอาการเป็นปรปักษ์ต่อกันในสภาอันเป็นสถานที่ประชาชนมองเห็น แต่ในที่ลับหลังประชาชน กลับแอบแบ่งปันผลประโยชน์กันและกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้ความจริงว่า พรรคการเมืองทุกพรรคล้วนมีขั้วเดียวกัน มีอุดมการณ์เดียวกัน คือแข่งกันรับใช้ประชาชน เมื่อเกิดการแข่งขันกัน พรรคไหนได้เป็นรัฐบาล พรรคที่แพ้การเลือกตั้งเกิดการริษยาแล้ว นั่นคืออาจกลายเป็นความเกลียดกันเป็นส่วนตัว จากนั้นก็ทำให้อ้างว่าอุดมการณ์ไม่ตรงกัน แต่ก็เป็นความจริงอีกว่า ถ้าประโยชน์ลงตัวก็ร่วมกันเป็นรัฐบาลได้ เช่นคราวนี้ สมมุติว่าพรรค พท.ได้ผู้แทนมาก แต่พรรค ปชป.ได้ผู้แทนน้อย แล้วสมมุติว่าพรรค พท.เห็นว่า ถ้าจัดรัฐบาลอีกความไม่สงบจะเกิดขึ้นอีกเพราะคนอีกกลุ่มไม่ยอม จึงยอมให้ ปชป.เป็นรัฐบาล คราวนี้ ปชป.คงจะยอมร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล แถมในช่วงนี้มีข่าวเสริมมาว่าตระกูลชินวัตรจะไม่ยุ่งการเมืองแล้ว มันช่างเหมาะเจาะดีแท้

แว่วมาว่า ทาง ปชป.ติงมาว่าคงจะร่วมกันยาก ถ้าทักษิณยังคุมเพื่อไทยอยู่ จากนั้นจึงมีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งว่าตระกูลทักษิณจะเลิกยุ่งการเมือง ตระกูลคงอยากอยู่อย่างสงบ และคงหวังให้เมืองไทยสงบด้วยจึงมีข่าวออกมาอย่างนั้น และจะวิเศษที่สุดก็คือ ปล่อยให้สมาชิกพรรคเลือกหัวหน้าพรรคอย่างเสรี แล้วถ้าสมาชิกพรรคนี้ซึ่งเป็นชาวรากหญ้าเป็นล้านคนเลือกคนมีเงินเป็นหัวหน้าพรรคอีก ทั้งๆ ที่ชาวรากหญ้าก็มีคนที่สามารถมากมาย แต่ไม่เลือก ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา แต่ถ้าสองพรรคจัดตั้งรัฐบาลกันได้ ก็ไม่แปลกที่ใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรค บ้านเมืองคงดีขึ้น

Advertisement

ถ้อยวลีที่กล่าวมาข้างบนนั้นคือความฝันที่คนไทยอยากเห็น แต่ดูแล้วท่าจะยาก โดยเฉพาะที่ฝันอยากเห็นชาวรากหญ้ารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อมาดูแลผลประโยชน์ของตน เพราะดูสภาพการณ์ช่วงที่ตระกูลชินวัตรประกาศจะวางมือทางการเมืองเท่านั้น มวลหมู่สมาชิกพรรค พท.เงียบกริบ! ไม่รู้เงียบเพราะซุบซิบหาหัวหน้าพรรคใหม่ หรือเงียบเพราะเสียดายนายทุนอุดหนุนพรรค แต่สื่อจอแก้ววิเคราะห์ว่าน่าจะเสียดายบารมีของทักษิณ ผู้พร้อมทุกอย่างโดยที่สุด ทั้งความสามารถและความคิดอ่าน ความจริงแล้วหากชาวรากหญ้ายังหวังพึ่งคนมีเงินมาเป็นหัวหน้าพรรค ผลประโยชน์จะได้เฉพาะตัวคนใกล้ชิดเท่านั้น อย่าได้หวังที่จะช่วยชนชั้นรากหญ้าทุกคนให้เงยหน้าอ้าปากได้

ปุถุชนทุกคน โดยเฉพาะผู้มีบารมีน้อย มีเงินน้อย ที่อยู่อาศัยที่ทำมาหากินต้องเช่าจากคนมีเงิน เมื่อมาเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็อดภูมิใจไม่ได้ ที่ได้เดินตามคนมีเงิน ได้ห้อมล้อมผู้มีอำนาจ แต่มันมีความอิ่มได้ โดยพยายามมองเห็นความเหลื่อมล้ำที่ตัวทำเองและคนสองกลุ่มเขาสร้างกฎหมายเอาเปรียบ

ความฝันที่อยากเห็นพรรคใหญ่สองพรรคหรือพรรคทุกพรรคร่วมกันตั้งรัฐบาลก็น่าจะฝันสลายเช่นกัน เพราะมีการเตือนมาทางจอแก้วว่าอาจจะมีบางพรรคแสดงท่าทีจะร่วมกันตั้งรัฐบาล แต่เบื้องหลังจับมือกับรัฐบาลเก่าเป็นรัฐบาลต่อ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ปลงเสียเถอะ เพราะถึงอย่างไรผู้ได้อำนาจรัฐในเมืองไทยก็มีเฉพาะกลุ่มที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจและกลุ่มที่มีเงินเป็นฐานอำนาจเท่านั้น และดูเหมือนกลุ่มที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจจะเอื้อเรื่องความเหลื่อมล้ำในที่ดินให้คนจนมากกว่า
ตัวอย่างเช่น ลงมือยึดที่ดินประเภท ภท.5 ของคนมีอิทธิพลมาแจกคนไม่มีที่ทำกิน ข่าวการยึดที่ของผู้มีอิทธิพลค่อนข้างแน่ แต่ข่าวการให้คนจนจับจองต่อไม่ปรากฏชัด ขอให้หันกลับไปมอง ถ้ารัฐบาลมาจากการเลือกตั้งจะไม่กล้ายึดที่ดินประเภทนั้น แต่จะอ้างกฎหมายป้องกันตนเอง เพราะโดยความจริงแล้วการอ้างกฎหมายในลักษณะนี้คือการช่วยพวก เพราะตัวได้คะแนนจากคนมีอิทธิพลในท้องถิ่น นี่คือผลเสียของระบบเลือกตั้ง เพราะความจริงแล้วที่เรียกว่าประชาธิปไตยของตะวันตกนั้น ก็คือกลุ่มชนที่มีเงินเป็นฐานอำนาจผลัดเปลี่ยนกันรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนนั่นเอง

Advertisement

ขอให้ดูข่าวในประเทศอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ทางการต้องประกาศให้ปิดโรงเรียนเพราะมลพิษบนท้องถนนเกินมาตรฐานสากล ประชาชนชาวกรุงเดลีบ่นกันพึมว่า นักการเมืองมัวทำอะไรจึงไม่จัดการแก้ไข คำถามนี้ตอบได้ว่า น่าจะเป็นเพราะนักการเมืองกลัวเสียคะแนนเสียงจึงไม่กล้าห้ามรถวิ่ง ไม่กล้าห้ามโรงงานที่ปล่อยมลพิษ

ดังนั้น จึงน่าจะสรุปได้ว่า ระบบการเลือกตั้งเป็นวิธีการที่ชาวรากหญ้าภูมิใจที่ตัวมีอำนาจเลือกใครมาเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่พอเลือกไปแล้ว ถึงกลุ่มคนที่มีเงินเป็นฐานอำนาจจะจัดการบริหารธุรกิจของตน เพิ่มเงินให้ธุรกิจของตนมากมายอย่างไร และการบริหารธุรกิจดังกล่าวนั้นจะก่อมลพิษอย่างไร จะทำให้คนยากจนจนเพิ่มขึ้นอย่างไร ชาวรากหญ้าก็เฉย กลุ่มทุนก็เฉย เพราะตนได้ผลประโยชน์ สักวันหนึ่งคนกลุ่มใหญ่คงจะมองเห็น เขาคงไม่หวังเพียงได้อิ่มใจที่เป็นผู้มีอำนาจเลือกผู้ปกครองบ้านเมืองเท่านั้น!

ผู้อ่านอ่านแล้วอาจจะคิดว่า การพูดแบบนี้เหมือนการสนับสนุนการยึดอำนาจ ขอตอบว่า ไม่เป็นเช่นนั้นเลย ขอให้มองมติชาวโลกว่าเขารังเกียจการได้อำนาจรัฐจากการเอาปืนมาจ่อ แต่ส่งเสริมการถ่ายโอนอำนาจตามระเบียบที่สังคมยอมรับของประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ประเทศที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เขาก็มีวิธีเลือกตั้งแบบของเขา ชาวตะวันตกประเทศไหนไปเลิกค้าขายกับเขาบ้าง ไปตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับเขาบ้าง ไม่มี! นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้เปลี่ยนผู้ปกครองด้วยการเอาอาวุธมาจี้ แต่เขาถ่ายโอนอำนาจกันตามระเบียบของสังคมประเทศนั้นๆ ที่ตั้งเอาไว้ แม้แต่ละค่ายของการปกครองที่แตกต่างกัน จะยกการปกครองของตัวว่าดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม ก็มิได้ก่อให้เกิดความบาดหมางกันเหมือนก่อนอีกแล้ว

เช่น ฝ่ายตะวันตกตำหนิการปกครองของคอมมิวนิสต์ว่าเผด็จการ ยึดสมบัติชาวบ้านมาเป็นของรัฐหมด ข้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ตำหนิการเลือกตั้งของทางตะวันตกว่าเป็นการใช้เงินแสวงหาอำนาจ เป็นระบบนายทุนที่หาอำนาจเพื่อรักษาอำนาจรัฐให้คงอยู่กับกลุ่มของตัวเอง เป็นต้น

เคยมีข่าวว่าประเทศที่มีสายสัมพันธ์กับไทยทางตะวันออกเขาปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ เขามีการเลือกตั้งเหมือนประเทศไทย แต่เขาเลือกเอาคนออกจากการทำหน้าที่บริหารประเทศ คนไทยฟังแล้วบางคนหัวเราะจนน้ำตาไหล เพราะไม่เหมือนไทยที่เลือกคนมาเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่ไม่เคยมีการเลือกให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่ง ผู้เขียนนั่งนึกว่า ไปหัวเราะเขาทำไม เขาทำถูกแล้ว ประเทศที่เขาปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์เขาก็อ้างว่าเขาเป็นประชาธิปไตย คือประชาชนมีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองเหมือนกัน ตอนเลือกผู้บริหารประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จะประชุมทำการเลือก เมื่อทำงานไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ประเทศดังกล่าวนี้จึงหาวิธีให้อำนาจประชาชนเลือกว่า คนผู้นี้เหมาะที่จะให้ทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ ถ้าประชาชนรู้สึกว่าผู้นี้ไม่สมควรให้ทำหน้าที่ต่อไป เพราะรวยขึ้นทุกวัน เขาก็จะเลือกให้พ้นหน้าที่ไป นี่คืออำนาจของประชาชน

เมื่อเมืองไทยมาถึงช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาที่ชนชั้นที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจและชนชั้นที่มีเงินเป็นฐานอำนาจ มีความพร้อมในการที่จะดูแลบ้านเมือง แต่ชนชั้นรากหญ้ายังมองเรื่องการเมืองไม่ออกเลย ดังนั้น ชนชั้นทั้งสองกลุ่มนั้นเท่านั้นที่มีถนนโล่งที่จะดูแลบ้านเมือง อีกทั้งชนชั้นทั้งสองกลุ่มนั้นกำลังแย่งชนชั้นรากหญ้าเพื่อมอบอำนาจให้กับตน จึงเท่ากับว่าตอนนี้ชนชั้นรากหญ้ากำลังมีอำนาจจะเลือกกลุ่มไหนมาดูแลบ้านเมือง

เราต้องไม่ลืมว่า ทุกกลุ่มมีทั้งดีและไม่ดี กลุ่มที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจ ถ้าเป็นรัฐบาลมักทำให้บ้านเมืองสงบ แต่เสรีภาพประชาชนถดถอย กลุ่มมีเงินเป็นฐานอำนาจ ถ้าเป็นรัฐบาลมักทำให้ประชาชนมีเสรีภาพ แต่เสรีภาพของนายทุนมักเกินขอบเขต เพราะไม่กล้าหักหาญกับประชาชนเพราะกลัวเสียคะแนน พวกเขาหวังเพียงให้ธุรกิจของเขารุดหน้าเท่านั้น และขอให้ตระหนักว่าระบบทุนนิยมทุกวันนี้ได้ยึดที่ดินของชาวนาไปเกือบหมดแล้ว และกำลังจะคว้าเมล็ดพันธุ์พืชของเหล่าเกษตรกรมาเป็นสิทธิของตนอีก แล้วชาวรากหญ้าจะเหลืออะไร

ทุกวันนี้ ที่ 70% ของประเทศเป็นของคนเพียง 10% แต่คนไทยอีก 90% มีที่ดินรวมกันเพียง 30% ในฐานะที่ผู้เขียนได้สอนหลักธรรมในการปกครองบ้านเมืองของพระพุทธเจ้าในมหาวิทยาลัยมาหลายปี มีความเห็นส่วนตัวว่า ในช่วงเวลานี้ควรตั้งรัฐบาลแห่งชาติเหมาะที่สุด ให้ทุกพรรคมารวมตัวกันเป็นรัฐบาล ให้ทุกชนชั้นมารวมตัวกันรับผิดชอบ อย่าได้ตัดพรรคไหนออก การสัญจรเข้าหาพรรคขนาดกลางที่ผ่านมา ดูเหมือนเป็นพรรคที่ประชาชนมองออกว่าหัวหน้าพรรคเป็นคนอย่างไร! แต่ถ้าเรารวมตัวกันทั้งหมดคือ กลุ่มที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจเป็นหัวหน้ารัฐบาลดูแลความมั่นคง กลุ่มมีเงินเป็นฐานอำนาจดูแลด้านเศรษฐกิจ ชนชั้นรากหญ้าดูแลด้านมหาดไทย นี่คือความปรองดองของสังคมไทย นี่คือการแบ่งผลประโยชน์ให้ทุกคนในชาติ นี่คือความสวัสดีของประเทศไทย

จุดสำคัญของการปกครองบ้านเมืองคือ หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้ 3 ประการคือ ทศพิธราชธรรมหนึ่ง จักกวัตติวัตรหนึ่ง และราชสงเคราะห์หนึ่ง ทุกวันนี้สังคมไทยรู้จักเพียงชื่อทศพิธราชธรรม แต่ไม่รู้ว่าทศพิธราชธรรมนั้นมีอะไรบ้าง แท้ที่จริงแล้วทศพิธราชธรรมนั้นเป็นคุณสมบัติของผู้ปกครองบ้านเมืองทั้งสิบข้อ แต่หลักธรรมที่ผู้ปกครองบ้านเมืองจะต้องปฏิบัติต่อประชาชนนั้นอยู่ในหลักธรรมที่ชื่อจักกวัตติวัตรและราชสงเคราะห์ เมื่อผู้ปกครองบ้านเมืองไม่รู้หลักธรรมที่ผู้ปกครองบ้านเมืองควรปฏิบัติต่อประชาชนเสียแล้ว เขาจะปฏิบัติต่อประชาชนให้ถูกตามหลักธรรมได้อย่างไร เสียดายว่าเราชาวพุทธไม่ได้นำหลักธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้มาปฏิบัติกันเลย ทั้งนี้ เป็นเพราะไม่มีใครรู้จักหลักธรรมเหล่านี้ ถึงบางคนจะรู้ ก็ไม่เห็นทางที่จะเปิดเผยเพราะไม่มีใครจะสนใจนัก เพื่อให้หลักธรรมของการปกครองบ้านเมืองดังกล่าวนี้แพร่หลาย จึงขอโฆษณาตำราเล่มนี้ที่เปิดสอนอยู่ในมหาวิทยาลัย

พี่ผู้ใดสนใจขอให้ไปซื้อได้ที่สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตำราชื่อ “ปัญหาปรัชญาการเมืองของโลกตะวันออก” หรือ py.423. ในตำราเล่มนี้ได้นำหลักธรรมของการปกครองบ้านเมืองที่พระพุทธองค์ประทานไว้ในพระไตรปิฎกมารวมไว้ทั้งหมด อย่าได้คิดว่าคำสอนที่พระองค์วางไว้จะไม่น่าอ่าน โดยส่วนตัวขอยืนยันว่าคำสอนดังกล่าวไพเราะและซาบซึ้งนัก ขอยกมาเป็นบทสรุปของบทความนี้เพื่อให้ได้อ่านดังต่อไปนี้

พระพุทธองค์ตรัสสอนผู้ปกครองบ้านเมืองไว้ในเตสกุณชาดก (พระสูตรและอรรถกถาแปลเป็นไทย เล่ม 61 หน้า 573) ว่า “ข้าแต่มหาราชะ! ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระราชมารดาและพระราชบิดา คือทรงกำจัดทุกข์บำรุงสุขให้พระราชมารดาและพระราชบิดา เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมในพระราชมารดาและพระราชบิดาในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ข้าแต่มหาราชะ!

ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระราชโอรสและมเหสี คือขอพระองค์จงกำจัดทุกข์บำรุงสุขให้พระโอรสและมเหสี เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมให้พระโอรสและมเหสีในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้ พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ข้าแต่มหาราชะ!

ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในมิตรและอำมาตย์ของพระองค์ คือขอจงกำจัดทุกข์บำรุงสุขในมิตรและอำมาตย์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมในมิตรและอำมาตย์ของพระองค์ในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ข้าแต่มหาราชะ! ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในกองทัพ คือขอพระองค์กำจัดทุกข์บำรุงสุขให้ทหารทุกคนในกองทัพ เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมในทหารทุกคนในกองทัพในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ข้าแต่มหาราชะ!

ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในประชาชนของพระองค์ คือขอพระองค์จงกำจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชนของพระองค์ เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมในหมู่ประชาชนของพระองค์ในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ข้าแต่มหาราชะ! ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในหมู่สมณะทั้งหลาย คือขอพระองค์จงกำจัดทุกข์ส่งเสริมการปฏิบัติดีของเหล่าสมณะทั้งหลาย เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมในหมู่สมณะทั้งหลายในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ข้าแต่มหาราชะ!

ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในหมู่เนื้อและนกในราชอาณาจักร คือขอพระองค์จงให้อภัยชีวิตเนื้อและนก และดูแลเนื้อและนกที่เจ็บป่วย เมื่อพระองค์ประพฤติธรรมในหมู่เนื้อและนกในอาณาจักรของพระองค์ในโลกนี้อย่างนี้แล้ว ครั้นพระองค์สิ้นพระชนม์ไปจากโลกนี้แล้ว พระองค์จะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์”

พระพุทธพจน์ที่ยกมานี้เป็นบางส่วนในหลักธรรมการปกครองที่ชื่อจักกวัตติวัตรเท่านั้น

กลิ่นบงกช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image