นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ในวันที่ 11 มกราคมนี้ ที่สิงคโปร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงความก้าวหน้าของการเจรจาและประเด็นข้อเสนอใหม่ของอาเซียน แนวทางขับเคลื่อนให้การเจรจาสามารถบรรลุผลตามเป้าหมาย หลังจากวันที่ 5-6 มกราคมที่ผ่านมา ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมหัวหน้าคณะเจรจาอาร์เซ็ปฝ่ายอาเซียน ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส โดยได้ปรับปรุงข้อเสนอใหม่เพื่อเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนในครั้งนี้ ที่จะเร่งผลักดันให้ประเทศคู่เจรจาเพิ่มความยืดหยุ่นและผ่อนปรนท่าทีให้เข้าหากันได้มากขึ้น ให้ทุกประเทศสามารถแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน ที่จะขับเคลื่อนให้การเจรจาเป็นผลสำเร็จในปี 2561 ตามเป้าหมายของผู้นำ
นายสกนธ์ กล่าวว่า อาร์เซ็ปมีสมาชิก 16 ประเทศ เป็นตลาดการค้าและการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุม 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก มีประชากรรวมกันกว่า 3.5 ล้านคน ในปี 2559 ไทยค้าขายกับประเทศสมาชิอาร์เซ็ป มูลค่ารวมประมาณ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 59% ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย จึงเป็นตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์มุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาอาร์เซ็ป ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส กล่าวว่า การเจรจาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกยังมีท่าทีแตกต่างกันทั้งในเรื่องด้านการเปิดตลาดและด้านกฎเกณฑ์ เนื่องจากมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ความคาดหวังและความอ่อนไหวที่แตกต่างกัน จึงทำให้แผนการเจรจาคลาดเคลื่อนจากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ โดยไทยได้พยายามผลักดันให้จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าสำคัญที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ประมงแปรรูป มันสำปะหลังอัดเม็ด น้ำตาลจากอ้อย ข้าว ปิโตรเคมี ยางพารา และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น ไทยมีการส่งออกสินค้าไปยัง 3 ประเทศนี้ คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น24.1% ของมูลค่าส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคอาร์เซ็ป หรือ 13.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย ส่วนช่วง 11 เดือน ปี 2560 ไทยส่งออกไปอาร์เซ็ป มูลค่า 1.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.44% และไทยนำเข้า 1.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.54%
