“สมคิด”โชว์ปี61ภารกิจรัฐบาล มุ่งสร้างฐานรากเข้มแข็ง-ปฏิรูปเกษตร ชี้ศก.4%หากไม่ทำอะไรก็หล่นได้

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2560 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ ว่า ขณะนี้โฟกัสของโลกอยู่ที่เอเชียและอาเซียน ชาติไหนๆ ก็อยากเกาะเกี่ยว ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่ตั้งอยู่ศูนย์กลาง ซึ่งเร็วๆนี้จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน(อาเซียนซัมมิท)ที่อินเดีย เป็นการเชื่อมโยงระหว่างอินเดียและแปซิฟิกเข้าหากัน นับเป็นอีกยุทธศาสตร์ทางทะเล ที่จะเชื่อมนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง(วันเบล วันโรด)ของจีน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของไทย ทุกอย่างดีขึ้น ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2560 ขยายตัว 4.3% ส่วนไตรมาส 4 หลายสำนักบอกว่าเกิน 4% ตนเองคิดในใจว่าอาจเฉียด 5% ด้วยซ้ำไป หากสมมุติไตรมาส 4 ปี 2560 เศรษฐกิจขยายตัว 4.5% ทั้งปีขยายตัวได้ 4% และจะไล่ขึ้นไปเรื่อยๆระดับ 5% อาจจะเป็นปีหน้า หรือปีไหนก็แล้วแต่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อจีดีพีดี เงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ หนี้ต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ42 เศษๆ จึงเป็นสิ่งนักลงทุนต่างชาติมอง โครงการต่างๆ โครงการโครงสร้างพื้นฐานและโครงการในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยและดีขึ้น วงการนักลงทุนและหุ้นจะไม่มาได้ไทยได้อย่างไร และเมื่อเดือนธันวาคม มีประกาศความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 35 เดือน และดัชนีของอุตสาหกรรมสูงสุดในรอบ 22 เดือน เหล่านี้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือไม่ตนเองไม่ขอตอบ ให้ดูกันเอง และรู้ว่ามีจุดอ่อนก็พยายามแก้ไข

“จุดสำคัญยิ่ง คือ ไทยจะไปสู่การเลือกตั้งตามระยะเวลาในปีนี้ เราต้องการทำปีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบ้านเมือง วันนี้พ้นเรื่องเศรษฐกิจทรุดไปแล้ว ต่อไปคือการปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องการผู้นำที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปีนี้เป็นจุดพลิกผัน หากทำได้ดีก็เหมือนหว่านเมล็ดพืชให้รัฐบาลข้างหน้ามาสานต่อ หากทำไม่ดีในยุคดิจิทัลก็จะตกขบวนทันที เป็นเรื่องรอไม่ได้”

นายสมคิด กล่าวว่า ปี 2561 ภารกิจของคณะทำงานชุดนี้ จะโฟกัส 2 เรื่องใหญ่ คือ 1.ช่วยเศรษฐกิจฐานราก ปฏิรูปการเกษตร ทำเศรษฐกิจพื้นฐานให้แข็งแรง ช่วยคนจน ลดความเหลื่อมล้ำ ทุกฝ่ายเกี่ยวข้องจะดูแลราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ทรุดต่ำ ติดตามใกล้ชิด ข่าวทราบมาแนวโน้มราคาจะดีขึ้น แต่เป็นแค่เรื่องระยะสั้นปีต่อปี แต่สิ่งที่จะต้องทำอีกคือทำให้ฐานรากแข็งแรงเพียงพอ นั่นคือทำโลคอลอีโคโนมีภายในประเทศเข้มแข็ง ควบคู่กับโมเดิร์นอีโคโนมี เน้นการส่งออกและลงทุนในประเทศ ช่วงที่ผ่านมาโลคอลถูกละเลย คนหนุ่มสาวเข้ามาในเมือง ลูกอยู่กับคนแก่ โครงสร้างพื้นฐานไปไม่ถึง กลายเป็นสองนครา คือ เมือง ความทันสมัย ชนบทยากจนล้าสมัย หน้าที่เราคือสร้างสมดุลทั้งสองสิ่งนี้ พัฒนาเขตเมืองเชื่อมโยงกับชนบท เมืองรอง ไม่ว่าอะไรต้องเชื่อมโยงกัน

Advertisement

นายสมคิด กล่าวว่า มาตรการคนจนเฟส 2 ผ่านคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา เราไม่ต้องการให้เงินฟรีๆ แต่ต้องการให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม ประคองให้ยืนอยู่ได้พอสมควร จากนี้กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่ไปตามบัญชีรายชื่อที่ลงทะเบียน ลงไปในหมู่บ้าน เช็คว่าเขาต้องการอะไร ก็มาฝึกอบรมกับเกษตรจังหวัด ต้องการทักษะฝีมือแรงงานก็เข้ามา ในอนาคตต้องการต่อยอดให้เอกชนเข้ามาช่วยด้วย มาสนับสนุนการฝึกอบรม รับเขาไปทำงานในองค์กรซึ่งจะสามารถหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ ในอนาคตประเทศที่ไม่มีระบบสวัสดิการอย่างเราเป็นจุดเริ่มที่ดี

นายสมคิด กล่าวว่า 2. เราต้องการปฏิรูปการเกษตรอย่างจริงจัง โดยแต่ละภาคส่วนรู้ว่าต้องการจะปลูกอะไร และรับความเสี่ยงต่ำ ต้องการเห็นการปลูกแบบเป็นกลุ่มชุมชน เอสเอ็มอีเกษตร คุณรุ่นใหม่ทำการเกษตร มีผู้นำชักชวนมาทำ ชุมชนเกษตรมีลานตาก ยุ้งฉาง ไซโล อนาคตมีสินค้าแปรรูปเราก็เข้าไปช่วย ทำให้ค้าขายอีคอมเมิร์ซได้ ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังทำโครงการยกเครื่องการเกษตรของไทย ไม่ใช่แค่ปลูกหลายอย่าง แต่เห็นวิธีการใหม่ๆ ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)มีหน้าที่ชี้เป้าแต่ละจังหวัด และร่วมกับโมเดิร์นเทรด และกระทรวงพาณิชย์ทำการตลาด มีบิ๊กดาต้ารู้ซัพพลายในตลาด เพราะไม่รู้สุดท้ายจะขายไม่ออก จะกลายเป็นรัฐบาลรับจำนำอย่างเดียวเมื่อสินค้าเกษตรไม่รู้จะขายใคร

นายสมคิด กล่าวว่า เรื่องเหล่านี้ทำความคู่กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่งเสริมการท่องเที่ยวลงสู่เมืองรอง และร่วมกับกรมทางหลวงชนบท ซึ่งกำลังทบแทนแผนโครงสร้างพื้นฐานให้เชื่อมโยงกัน นอกจากนี้ ต้องร่วมกับฝ่ายสาธารณสุข แทนที่จะตั้งโรงพยาบาลเป็นสาขา ควรมีหน่วยเคลื่อนที่ (โมบาย)ให้เข้าถึง มหาดไทยคือหัวใจ ทุกจังหวัดรู้ว่าจะต้องทำอะไร อย่างจีนที่พัฒนาได้เร็วก็โฟกัสลงไปแต่ละจังหวัด นำสมาชิกพรรคเป็นล้านคนลงไปดูชุมชน ก็หาทางช่วยเหลือ เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีกำลังให้มีทีมทำเรื่องนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร ธ.ก.ส. รวมถึงทหาร จะลงลึกระดับจังหวัด ครอบลงไปเลยว่าแหล่งน้ำ พื้นที่ที่ทำกิน การเชื่อมโยงต่างๆ นี่คือจุดเริ่มต้นเอากล้องไปโฟกัสแต่ละจังหวัด

Advertisement

“ กลางปีนี้ กระทรวงการคลัง จะจัดทำงบประมาณกลาง สำหรับการปฏิรูปเกษตรและยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ให้เกิดผลภายในปีนี้ให้ได้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจจริงที่ยกระดับขึ้นมา แน่นอนที่สุดคือต้องการให้เอกชนช่วย อย่าลืมว่าคนจนมีค่อนประเทศ การช่วยคนจนได้มีหลักคิดคือ คนจนไม่ใช่ภาระ ประเทศมีคนหนุ่มสาวน้อยจะไม่มีพลังสร้างชาติ หากมีคนจนอยู่แล้ว ก็ควรพลิกให้เป็นสินทรัพย์ในอนาคต ขณะเดียวกันคนจนอยู่แล้วขณะนี้ ไม่ใช่นั่งเฉยๆ รอรัฐบาลมาช่วย แต่ควรต้องพลิกจิตใจให้คนต่อสู้ได้ ทำให้ขึ้นมามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีแรงบันดาลใจสู่ความฝันของเขาให้ได้ มีธุรกิจของตัวเองให้ได้ ”นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด กล่าวอีกว่า เวลานี้อย่าประมาทจีดีพีเมื่อขยายตัวถึง 4% หากไม่ทำอะไรเลย จะหล่นมาลงมาได้ ขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การสื่อสารแบบใหม่ ติดต่อร้านค้าได้โดยตาง พลังของผู้บริโภคมหาศาล ธุรกิจไม่ปรับตัวตายแน่นอน เป็นโอกาสของธุรกิจรายเล็กที่มีความคล่องตัวจะสามารถปรับเปลี่ยน มีนวัตกรรมผ่านแพลตฟอร์มของตนเอง ให้เกิดประสิทธิภาพได้ บางครั้งการมีนวัตกรรมของรายเล็กเกิดโมเดลธุรกิจใหม่สามารถฆ่ารายใหญ่ได้เลย เมื่ออีคอมเมิร์ซบูม โลจิสติกส์ก็ตามมา รวมถึงการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ด้วย อย่างจีนเดิมการพัฒนาประเทศเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งออก แต่ตอนนี้ส่งออกลดลงมา ดิจิทัลอีโคโนมีเติบโตสูงมาก ฉะนั้นจะเห็นว่าดิจิทัลทำให้เกิดอะไร เกิดสินค้าใหม่ๆบริการใหม่ๆเพิ่มปริมาณการค้ามหาศาล ทำให้เกิดสตาร์ตอัพใหม่ๆ เกิดการจ้างงาน กลายเป็นระบบเศรษฐกิจแบบผู้ประกอบการ ไม่ใช่ยึดตลาดโดยบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่บริษัท จึงควรเรียนรู้สิ่งที่ดีจากจีนเอามาประยุกต์ใช้

“เมื่อดิจิทัลมากลุ่มพัฒนาเก่งก็ไปได้เร็ว คนที่ไม่สนใจจะถ่างออก เกิดช่องว่าง เมื่อดิจิทัลมาแรงงานจะเป็นอย่างไร ขึ้นค่าแรงยังไม่ให้เขาขึ้นเลย แล้วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร นโยบายรัฐบาลพร้อมซัพพอร์ตการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ส่วนว่าขึ้นเท่าไหร่นั้นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไปคุยกัน ต้องเกื้อกูลกัน ไม่ใช่ต่ำเตี้ยเรี้ยดินจะอยู่ได้อย่างไร”นายสมคิดกล่าว และว่า เรื่องกฎหมายดิจิทัล ต้องมีทีมรู้กฎหมาย เข้าใจระบบเทคโนโลยีและต้องแก้ไขกฎหมายไว้ล่วงหน้า ทำอย่างไรให้เกิดสตาร์ทอัพในประเทศ ทุกอย่างอยู่ที่กฎหมาย ต้องตั้งทีมใหม่ขึ้นมา ให้อาจารย์วิษณุ (นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี)ดูกฎหมายทั่วไป ต้องมีรัฐมนตรีพิเชฐ(นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) และคุณปรีดี(นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย)ด้วย เพื่อเชื่อมการผลิตไปจนถึงตลาดหุ้น เรื่องนี้เรื่องใหญ่ จะต้องทำให้เกิดขึ้นภายในหนึ่งปี ยิงตรงกฎหมายเข้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ส่วนบิ๊กดาต้า กระทรวงเศรษฐกิจต้องเตรียมทำและเสนอคณะรัฐมนตรีว่าจะทำอะไร เพื่อเป็นรูปแบบให้กระทรวงอื่นๆ ทำตาม อย่างกระทรวงทางสังคม รวมถึงรัฐวิสาหกิจต้องร่วมด้วย เพื่อให้ทั้งรัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไปด้วยกัน

นายสมคิด กล่าวว่า ในปีนี้ต้องทำให้ครบเรื่องอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน และการวางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในโรงเรียนรัฐทุกแห่ง ยังมีเรื่องการสานต่อร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ให้ค้าอีคอมเมิร์ซและเป็นจุดแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชนด้วย ขณะที่การเปลี่ยนผ่านเอสเอ็มอีสู่ดิจิทัล ก็จะต้องมีศูนย์เข้ามาดูแลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ด้านบุคลากรก็เป็นหัวใจ ในพื้นที่อีอีซีก็ส่งเสริมให้มีตั้งศูนย์การศึกษา เตรียมกำลังคนและสร้างบุคลากรให้พร้อมนอกเหนือจากการศึกษาในระบบ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image