“เอสซีจี”ทุ่ม6หมื่นล.ลุยลงทุนทั่วโลก ห่วงบาทแข็งเพราะทุกบาท กำไรจะหาย2พันล้าน(มีคลิป)

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2561 มีแนวโน้มดีขึ้น ประเด็นหนุนในประเทศมีแรงขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ผลดีต่อความต้องการใช้ซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น คาดว่าปริมาณการใช้ซีเมนต์ในประเทศขยายตัว 2-3% จากปี 2559 ติดลบ 5% เพราะโครงการภาครัฐล่าช้า ส่วนการลงทุนเอกชนของภาคอุตสาหกรรมยังต้องติดตาม ขณะที่ธุรกิจการส่งออก ท่องเที่ยว การค้าชายแดน และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ยังเติบโตได้และมีการลงทุนเพิ่มบ้าง ส่วนสถานการณ์การเมืองยังนิ่งจะหนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ปี2561ความเสี่ยงธุรกิจที่ต้องระมัดระวังคือต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีและหีบห่อเพิ่มขึ้น ขณะที่ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีการแข่งขันสูงอาจทำให้ไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ ต้องติดตามว่าจะมีความต้องการใช้มากน้อยเพียงใด

สำหรับเรื่องค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องได้กระทบต่อกำไรเอสซีจี เพราะการส่งออกสินค้าและธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งรับรายได้เป็นดอลลาร์สหรัฐ เมื่อแปลงเงินเป็นบาทกำไรลดลง โดยการแข็งค่าทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กระทบต่อกำไรลดลง 2,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยลดต้นทุนผ่านการนำนวัตกรรมมาใช้เพิ่มราคาเพิ่มด้านจำนวนพนักงานของบริษัททั้งในและต่างประเทศ ที่มีกว่า 50,000 คน ยืนยันไม่มีนโยบายปรับลดบุคลากร แต่จะพัฒนาทักษะการทำงานพนักงานให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ใหม่ รองรับความต้องการของลูกค้าและการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ ส่วนผลกระทบปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เพราะค่าแรงขั้นต่ำของบริษัทปัจจุบันสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำของภาครัฐอยู่แล้ว

Advertisement

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ปี2561เตรียมงบลงทุน 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ลงทุน 46,000 ล้านบาท โดยประมาณ 20,000 ล้านบาทใช้ในการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายกลางปีนี้ รวมทั้งขยายกำลังการผลิต ปรับปรุงโรงงาน ลงทุนด้านนวัตกรรมใหม่ และซื้อกิจการ ซึ่งล่าสุดบริษัทเข้าถือหุ้นในบริษัทอินเตอร์เพรส ปริ๊นเตอร์ ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ในประเทศมาเลเซีย สัดส่วน 68.3% มูลค่า 104.5 ล้านริงกิต หรือประมาณ 836 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเข้าไปลงทุนในมาเลเซียในรอบ 10 ปี เพราะมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ ส่วนการลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก(อีซีซี) ขออุบไว้ก่อน

นอกจากธุรกิจหลักคือ เคมีภัณฑ์ ซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ จะขยายสู่ธุรกิจบริการและโซลูชั่น อาทิ โลจิสติกส์มากขึ้น ปัจจุบัน เอสซีจี เอ็กซ์เพรส มีบริการกว่า 500 สาขาและจะขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศกลางปีนี้ ซึ่งนำเทคโนโลยีจีพีเอสต่อยอดสู่การบริการรถนักเรียนและรถพยาบาล เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองในการดูแลความปลอดภัยของบุตรหลาน และอำนวยความสะดวกในการรักษาทางการแพทย์ให้ผู้ป่วยระหว่างเดินทาง และบริษัทยังมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยอดขายสินค้ามีมูลค่าเพิ่มเป็นสัดส่วน 40% ของยอดขายรวม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยจะร่วมมือกับดิจิตอลสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพต่อยอดธุรกิจ ในสหรัฐ อิสราเอล และจีน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ปี 2561 คาดรายได้จากขายเติบโต 5-6% จากปี 2560 ที่มีรายได้ 450,921 ล้านบาท หรือเติบโต 6% ผลจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไร 55,041 ล้านบาท ลดลง 2% จากปี 2559 ผลจากการแข่งขันรุนแรงในธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในตลาดอาเซียน ที่มีซัพพลายออกมามาก และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้แปลงเงินจาดกอลลาร์สหรัฐเป็นบาทได้ลดลง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image