ศาลปกครองลดเงิน 20% ให้ ตร.ชดใช้ พธม. เหตุสลายชุมนุมปี51 ได้สูงสุด 4 ล.-ยกฟ้องสำนักนายกฯ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 มกราคม ที่ศาลปกครองกลางถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ. 280/2556 หมายเลขแดงที่ 1442/2560 ระหว่างนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ กับพวกรวม 250 คน ผู้ฟ้องคดี เเละนายกรณ์ เอี่ยมอิทธิพล กับพวกรวม 11 คน ผู้ร้องสอด ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2

คดีนี้ผู้ฟ้องคดี 250 คน และผู้ร้องสอด 11 คน ฟ้องว่า จากการสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อปี พ.ศ.2551ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับความเสียหายแก่ชีวิตร่างกายและทรัพย์สินเป็นเหตุให้ ผู้ฟ้องคดีที่ 8 ถึงแก่ความตาย ผู้ฟ้องคดีอื่นและผู้ร้องสอดได้รับอันตรายแก่กายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กาย จึงฟ้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องของ ผู้ร้องสอดที่ 1,3,6,8,9และ 11 ไว้พิจารณา

คดีนี้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาโดยวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากลในการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก โดยใช้โล่กำบังผลักดัน ใช้ฉีดน้ำจากรถดับเพลิงแล้วจึงค่อยใช้แก๊สน้ำตา รวมทั้งต้องประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบก่อน และการใช้แก๊สน้ำตาได้ยิงและขว้างตรงเข้าไปยังผู้ชุมนุมโดยตรงและยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาล และการสลายการชุมนุมได้ใช้แก๊สน้ำตาที่ขัดต่ออายุการใช้งาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีได้ร่วมในการประชุมคณะรัฐมนตรีและมีมติว่าต้องประชุมในรัฐสภาและสั่งการให้
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ผลักดันประชาชนที่ปิดล้อมรัฐสภาออกไปเพื่อให้แถลงนโยบายในวันดังกล่าวให้ได้ ซึ่งในขณะแถลงนโยบายเมื่อทราบว่ามีการสลายการชุมนุมทำให้ประชาชนบาดเจ็บนับร้อยคน แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ใส่ใจ หลังการประชุมสภาแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังคงใช้กำลังและอาวุธสลายการชุมนุม นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมิได้สนใจสั่งห้ามการกระทำละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช. มีความเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติมีความเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอด จึงมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดจำนวนตั้งแต่ 8,900 บาท ถึง 5,190,964.80บาทพร้อมดอกเบี้ย โดยให้มีสิทธิได้รับในความเสียหายเท่าที่เหลือจากที่ได้รับเงินทดแทนเยียวยาความเสียหายจากหน่วยงานของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 และสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาในการต้องรักษาอย่างต่อเนื่องภายใน 2 ปี ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 45

ต่อมาคู่กรณีคือ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 135 ที่ 137-250 ผู้ร้องสอดที่ 2,4,5,7 และ 10 กับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

Advertisement

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการกระทำเพื่อขัดขวางไม่ให้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมโดยแท้ จึงไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทั้งหมดด้วยวิธีการเดียวกับการจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาได้ แต่หากการชุมนุมเป็นไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายทำให้ผู้อื่นเกิดความเกรงกลัว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองย่อมมีอำนาจหน้าที่ระงับยับยั้งได้ แต่ทั้งนี้ การปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายระเบียบ และขั้นตอนวิธีการที่เหมาะสมตามที่กำหนดไว้ ดังนั้น ไม่ว่าการชุมนุมจะเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองย่อมไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายระเบียบและขั้นตอนวิธีการที่เหมาะสมได้ ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ 1605/2551 อันเป็นคดีที่ผู้ชุมนุมบางรายยื่นฟ้องขอให้ยุติการใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุมและมีคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ขอให้ห้ามการกระทำดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชุมนุมหน้ารัฐสภามิใช่การชุมนุมโดยสงบอันจะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสลายการชุมต้องกระทำเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความเหมาะสมมีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล เมื่อการสลายการชุมนุมมีประชาชนเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากไม่ได้รับการแจ้งเตือน จึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองให้หากจะกระทำการใดๆ ต่อผู้เข้าร่วมชุมนุมต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็นโดยคำนึงถึงความเหมาะสมมีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล และศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าหลังเกิดเหตุคดีนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 1 ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานที่ปรากฏตามรายงานดังกล่าวได้

โดยพยานให้ถ้อยคำว่าหลักในการควบคมฝูงชนมี 2 วิธี คือ 1.เจรจา 2.เจรจาไม่ได้ผลจึงใช้กำลังโดยให้เจ้าหน้าที่นำโล่และแก๊สน้ำตาติดตัวไปโดยไม่มีกระบอง ขั้นตอนการปฏิบัติ คือ 1.ใช้กำลังผลักดัน 2.รถฉีดน้ำ3.แก๊สน้ำตา 4.กระสุนยาง 5.ยิงปืนแหจู่โจมจับแกนนำ และข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติตามที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันว่า ก่อนการใช้แก๊สน้ำตาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แต่อย่างใด โดยพยานให้ถ้อยคำว่าได้ประสานขอรถดับเพลิงไปยังกรุงเทพมหานครแล้วแต่ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา โดยปรากฏว่าได้มีการขอรถไฟฟ้าส่องแสงสว่างและรถดับเพลิงไปยังกรุงเทพมหานครตามหนังสือวันที่ 19 กันยายน 2551 แต่ไม่มีการเร่งรัดใดๆ และมีหนังสืออีกครั้งหนึ่งตามหนังสือลงวันที่ 7 ตุลาคม 2551 อันเป็นวันเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบก่อนหน้านั้นแล้วว่าจะมีการชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภาและเป็นการขอรถดับเพลิงหลังจากผู้ชุมนุมได้เคลื่อนมวลชนมาที่บริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 6 ตุลาคม 2551 แล้ว

ภาพจากแฟ้มข่าว

และถึงแม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะอ้างว่ามีการกระทำความผิดต่อกฎหมายและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวนมากและอ้างส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวจำนวนหลายคดี แต่ก็ปรากฏตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าวว่าเป็นการกระทำหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมเป็นครั้งแรก เวลา 06.00 น.เศษ  อีกทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดแต่ละรายเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว และข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมได้รับอันตรายแก่ชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ในระยะเวลาแตกต่างกันหลายครั้งหลายสถานที่ตั้งแต่เริ่มมีการสลายการชุมนุม 06.00 น.เศษ มิใช่ได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเดียวกัน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากวัตถุระเบิดที่ตนพกพามา

Advertisement

ตามบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครอง ศาลปกครองมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงและรับฟังพยานหลักฐานที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ส่งสำนวนการไต่สวนต่อศาล โดยแจ้งว่าใช้ในการดำเนินคดีอาญา ศาลจึงไม่อาจรับฟังความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ส่งรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งหมดต่อศาล ทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ค้ำจุนการบริหารประเทศให้เป็นไปโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานบุคคลและพยานเอกสารจึงสมควรแก่การรับฟังเป็นอย่างยิ่ง โดยศาลไม่ได้รับฟังในส่วนที่เป็นความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แต่ได้พิจารณาข้อเท็จจริง ที่ปรากฏจากการให้ถ้อยคำของพยานบุคคลและพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ความเห็น เมื่อไม่มีปัญหาโต้แย้งและพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพยานบุคคลและพยานหลักฐานที่ปรากฏเป็นพยานหลักฐานเท็จหรือเกิดจากการปรุงแต่งหรือดำเนินการไปโดยกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด ศาลจึงสามารถรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้

ส่วนการดำเนินการขององค์กรอื่นๆ และสำนวนการสอบสวนคดีอาญานั้น ศาลมีอำนาจพิจารณาเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานอื่นๆ และสามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานว่าพยานหลักฐานใดรับฟังได้พยานหลักฐานใดรับฟังไม่ได้เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยคดี ซึ่งถึงแม้การให้ถ้อยคำของผู้ฟ้องคดีและพยานบางรายที่ยืนยันการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ร่วมชุมนุมที่เป็นผู้ได้รับความเสียหายในคดีนี้ ซึ่งต้องรับฟังการให้ถ้อยคำของบุคคลดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง แต่ก็มีกลุ่มสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ซึ่งมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการชุมนุมและไม่ใช่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ให้ถ้อยคำสอดคล้องต้องกันกับผู้ฟ้องคดีและพยานที่เป็นผู้ร่วมชุมนุม อีกทั้งพยานทั้งหมดได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 1 ในช่วงเดือนตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุที่ยังจดจำเหตุการณ์ได้ จึงฟังได้ว่าเป็นการให้ถ้อยคำตามความเป็นจริงไม่มีการเสริมแต่งข้อเท็จจริง และยังมีการให้ถ้อยคำของกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมายืนยันในความไม่เหมาะสมในวิธีการสลายการชุมนุมและการใช้แก๊สน้ำตาอีกด้วย

พยานหลักฐานดังกล่าวจึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีข้อบกพร่องในขั้นตอนการเตรียมการหารถดับเพลิงมาใช้ในการสลายการชุมนุมและมีข้อบกพร่องในวิธีการยิงแก๊สน้ำตา โดยยิงในแนวตรงขนานกับพื้นซึ่งไม่เป็นไปตามวิธีการที่ถูกต้องที่ต้องยิงเป็นวิถีโค้ง ประกอบกับแก๊สน้ำตาที่นำมาใช้เป็นแก๊สน้ำตาที่ซื้อมาเป็นเวลานานจึงมีประสิทธิภาพต่ำ จึงต้องใช้แก๊สน้ำตาจำนวนมากเกินกว่าที่จะใช้โดยปกติทั่วไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนชุลมุนเกิดความเสียหายต่อผู้ชุมนุมมากเกินกว่าผลตามปกติที่เกิดจากการใช้แก๊สน้ำตาที่มีประสิทธิภาพดีและยิงโดยวิธีการที่ถูกต้อง และยังส่งผลเสียหายไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่มาช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติจะรู้ถึงข้อบกพร่องของขั้นตอนในการเตรียมการหารถดับเพลิงมาใช้กับผู้ชุมนุมก่อนการใช้แก๊สน้ำตาและข้อบกพร่องในประสิทธิภาพของแก๊สน้ำตาที่ทำให้ต้องยิงแก๊สน้ำตาเป็นจำนวนมากหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อบกพร่องดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดแต่ละรายจึงเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายแก่ชีวิตร่างกายสิทธิและเสรีภาพจึงเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดจึงต้องรับผิดต่อผู้ได้รับความเสียหาย

ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง และการกระทำละเมิดดังกล่าวจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรีที่ให้มีการจัดประชุมแถลงนโยบายที่รัฐสภา แต่มติดังกล่าวเป็นไปตามปกติเพื่อให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลดำเนินการไปได้เท่านั้น โดยปรากฏตามเอกสารมติคณะรัฐมนตรีว่า ประธานรัฐสภาได้มีหนังสือนัดประชุมแล้วหากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยและเป็นอุปสรรคต่อการประชุม หน่วยงานที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สมควรติดตามสถานการณ์และเตรียมการเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหา หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดนัดหรือสถานที่ประชุมทางรัฐสภาคงต้องปรึกษาหารือกันแล้วแจ้งคณะรัฐมนตรีทราบ และมีมติมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรีติดตามตรวจสอบสถานการณ์และกำกับดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยประสานสั่งการผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการในการสลายการชุมนุมแต่อย่างใด การกำหนดขั้นตอนและวิธีการในการสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้มีการประชุมแถลงนโยบายจึงอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่มีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและมีระเบียบกฎหมายที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ อีกทั้งเมื่อเริ่มมีการประชุมแล้วและเกิดความเสียหาย ย่อมเป็นอำนาจของประธานรัฐสภาที่จะสั่งให้ปิดประชุมเพื่อยุติเหตุการณ์หรือไม่ มิใช่อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด ดังนั้น นายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงไม่ได้กระทำละเมิดที่จะต้องรับผิดแต่อย่างใด

ในส่วนของค่าเสียหายนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า กรณีสืบเนื่องมาจากการชุมนุมบางส่วนมีลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพและทรัพย์สินซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่จะต้องระงับยับยั้งการกระทำดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดแล้วเห็นว่าค่าเสียหายที่ศาลปกครองชั้นต้นกำหนดสูงเกินส่วน จึงสมควรลดค่าเสียหายลดร้อยละ 20 ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดแต่ละรายจำนวนตั้งแต่ 7,120 บาท ถึง 4,152,771.84บาท
พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

ทนายความของกลุ่มผู้ฟ้องคดี เปิดเผยว่า ศาลจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ส่วนค่าเสียหายที่ศาลปกครองชั้นต้นกำหนดสูงเกินส่วน จึงมีการลดค่าเสียหายลงร้อยละ 20 และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องและผู้ร้องสอด เป็นจำนวนเงินตั้งแต่ 7,000 -4,000,000 กว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image