เมื่อวันที่ 31 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีมูลนิธิและองค์กรสวัสดิภาพสัตว์ในประเทศไทยกว่า 7 องค์กร ร่วมลงชื่อถึงอธิบดีกรมปศุสัตว์เพื่อขอคำชี้แจงและร้องเรียนเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย กรณีการนำสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมวของชาวบ้านจะลอ ม.10 ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย จำนวนกว่า 100 ตัวไปกำจัดเพื่อควบคุมการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า โดยระบุว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและไม่เป็นธรรมตามกรอบวิธีการปฎิบัติตามลำดับใน พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์และ พ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้า
ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในหมู่บ้านจะลอ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่อยู่ใกล้แนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา มีประชากรเป็นชาวไทยภูเขาหลายเผ่าอาศัยอยู่ พบว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง โดยพบว่าในหมู่บ้านไม่เหลือแมวแม้แต่ตัวเดียวและเหลือสุนัขอยู่เพียง 4 ตัวคือที่บ้านเลขที่ 149 ของนายพงษ์ศักดิ์ วิเศษพิมลกุล อายุ 27 ปี จำนวน 2 ตัว และบ้านของเลขที่ 71/1 ของ น.ส.ธิดารัตน์ มาเยอะ อายุ 26 ปี อีก 2 ตัวเท่านั้น ซึ่งทั้ง 2 หลังกำลังอยู่ระหว่างทำการจัดทำกรงเหล็กไว้ขังสุนัขทั้ง 4 ตัวตามคำสั่งของสำนักงานปศุสัตว์อำเภอแม่ฟ้าหลวง
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา เนื่องมาจากมีสุนัขที่ครูตชด.ภายในโรงเรียนสังวาลย์วิท 8 ซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้านห่างไปกว่า 500 เมตรนำมาเลี้ยงติดเชื้อสุนัขบ้า แล้วได้มาคลุกคลีมากัดกับสุนัขในหมุ่บ้านทำให้ติดเชื้อจำนวน 7 ตัว ซึ่งชาวบ้านรู้ว่าเป็นสุนัขของใครบ้าง ทำให้ทางปศุสัตว์ได้มาขอตัวสุนัขทั้ง 7 ตัวเพื่อนำไปกักและกำจัดเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด โดยชาวบ้านและเจ้าของก็ยินยอม จนในวันที่ 26 มกราคม ก็ได้เรียกตัวแทนชาวบ้านที่เลี้ยงสุนัขและแมวหลังละ 1 คนไปทำความเข้าใจ ก่อนจะให้ชาวบ้านลงประชามติว่าจะให้กำจัดสุนัขและแมวที่เหลือทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 100 ตัวหรือไม่ โดยอ้างว่าก่อนหน้านี้เคยมีการแพร่ระบาดในพื้นที่หมู่บ้านแม่แสลบ ต.แม่ฟ้าหลวง และก็ได้นำสัตว์เลี้ยงไปมอบให้กำจัดทั้งหมดแล้ว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ตอนแรกชาวบ้านไม่ได้ยินยอมเพราะสงสาร โดยขอให้กักกันเพื่อดูอาการจำนวน 14 วัน หากไม่พบการติดเชื้อก็จะไม่ได้ต้องกำจัด แต่ทางเจ้าหน้าที่ใช้ระเบียบว่าจะต้องมีการกักพื้นที่สัตว์เลี้ยงเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยจะต้องจัดที่คุมขังด้วยกรงไม่ให้ออกนอกบริเวณบ้าน หากตรวจพบว่ามีการปล่อยสัตว์ออกมานอกกรงหรือนอกรั้วบ้าน หรือไปกัดคนหรือสัตว์อื่นจนเกิดการแพร่ระบาดของโรค ก็จะต้องรับผิดทางกฎหมายมีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับเป็นเงินหลายหมื่นบาท ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่กฎหมายและมีฐานะยากจน ไม่มีเงินสร้างกรงหรือสร้างรั้วบ้านและกลัวว่าจะต้องจ่ายเงินค่าปรับ จึงจำใจต้องลงมติในที่ประชุมให้กำจัดสัตว์เลี้ยงทั้งหมด จนในวันที่ 27 มกราคม ก็ให้ชาวบ้านนำสุนัขและแมวไปมอบให้ทางเจ้าหน้าที่
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า โดยในวันมารับสุนัขและแมวมีเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายเข้ามาโดยเปิดจุดรับที่ศาลาประจำหมู่บ้านและบริเวณศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านจะลอ ซึ่งทำแบบเป็นความลับโดยไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปดูหรือเป็นการบันทึกภาพใดๆ ตนและเพื่อนบ้านอีกหลายคนเห็นว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจึงไม่ยอม ก็ถูกข่มขู่ จนเพื่อนบ้านหลายคนต้องยอม เหลือเพียงตนและเพื่อนอีกคนเท่านั้นที่ไม่ยอมให้ โดยยืนยันว่าจะกักสัตว์ไว้เองและยินดีรับผิดชอบทุกอย่างต่อสัตว์เลี้ยงของตนและทำตามขั้นตอนของทางปศุสัตว์ทุกอย่าง ทางเจ้าหน้าที่ถึงยินยอม
นายอลงกรณ์ วิบูลย์เดชขจร หนึ่งในชาวบ้านที่นำสัตว์เลี้ยงไปให้เจ้าหน้าที่กำจัด กล่าวว่าตนเลี้ยงแมว 11 ตัว ก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้ทำอย่างไรจำใจต้องมอบให้ทั้งน้ำตา เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านอีกหลายคนที่ต้องร้องให้ขณะนำสัตว์ไปมอบให้ตอนนี้ไม่รู้สัตว์ที่ทางเจ้าหน้าที่เอาไปเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เชื่อว่าอาจตายหมดแล้ว ซึ่งก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นหากเป็นไปได้นำสัตว์เลี้ยงของพวกตนมาคืนหรือนำสัตว์อื่นมาทดแทนเพราะยังอยากจะเลี้ยงสัตว์กันอยู่
อย่างไรก็ตามทางผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังสำนักงานปศุสัตว์อำเภอแม่ฟ้าหลวง เจ้าของเรื่องได้รับการชี้แจงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความเจตนาของเจ้าหน้าที่ที่จะทำการกำจัดสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่คลุกคลีงานด้านปศุสัตว์ก็มีความรักสัตว์ แต่ด้วยระเบียบของการควบคุมโรคในฐานะการปฎิบัติหน้าที่ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งก็ได้มีการขอประชามติจากชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว โดยยืนยันไม่ได้มีการข่มขู่ แต่เป็นการชี้แจงระเบียบตามขั้นตอนและผลกระทบต่อกรณีการเกิดการแพร่ระบาดแก่ชาวบ้านให้เข้าใจ โดยต้องนำสัตว์มากำจัดและนำตัวอย่างไปตรวจหาเชื้อที่ศูนย์ จ.ลำปางเพื่อป้องกันไม่ให้ระบาดไปสู่คน
