…คงต้องยอมรับว่าการเปิดตัวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สู่สนามการเมือง ด้วยการตั้งพรรคที่จะเป็นทางเลือกใหม่ขึ้นนั้น “แรงทีเดียว” ไม่เพียงเสียงตอบรับเต็มที่จาก “สายเสรีนิยม” จะกระหึ่มเท่านั้น แต่ “สายอนุรักษนิยม” ยังถมึงตาใส่ ส่งเสียงคำรามกันให้ขรม หนำซ้ำยังมีเสียงเตือนจาก พ.อ.วินธัย สุวารี ในฐานะ “โฆษก คสช.” ถึง “ความเสี่ยงต่อความผิดขัดคำสั่ง คสช.” ในเรื่องที่มีการแสดงออก ในห้วงที่ “ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง” ทำให้แม้ว่าทางหนึ่งจะล่อแหลมต่อการถูกเล่นงาน แต่อีกทางหนึ่งทำให้ “ธนาธร” กลายเป็นศูนย์กลางของกระแส โดยไม่ต้องลงทุนสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งในฐานะ “นักการเมือง” ย่อมถือเป็นเรื่องดี และ “ไม่ใช่ใครก็ทำได้”
…เสียงปราม สงครามภายในพรรค ด้วยวิชาปั่นกระแสออนไลน์ ที่ พานทองแท้ ชินวัตร ส่งออกมา น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากมีรายละเอียดว่า มวลสมาชิกจำนวนไม่น้อยส่งข้อมูลไปให้ “โอ๊คเพื่อปรามการเล่นงานกันเองภายในพรรค” ในสถานการณ์ที่ “ภายนอกพรรค” ยังไม่นิ่ง ความน่าสนใจของความเคลื่อนไหวนี้ อยู่ที่ “คนที่น่าจะรู้ตัวว่าถูกระบุถึง” จะรับฟังเสียงเตือนจาก “โอ๊ค” หรือไม่ เพราะ “ฟังหรือไม่ฟัง” ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกความเป็นไปหลายอย่างใน “พรรคเพื่อไทย”
…เรื่องราวการทุจริตคอร์รัปชั่น ของ “หน่วยราชการ” ที่เริ่มมีรูปแบบที่แปลกออกไปกว่า “หัวคิว การจัดซื้อจัดจ้าง” และ “ซื้อขายตำแหน่ง” เหมือนที่ผ่านมา กลายเป็น “ปลอมชื่อเบิกเท็จ” จาก “กองทุนช่วยเหลือต่างๆ” สะท้อน “จิตสำนึกขี้โกงฝังลึกในแวดวงอำนาจรัฐ” คำถามว่า “4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีนักการเมือง ทำไมยังมีโกงมากมาย แม้ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์นักการเมืองดีขึ้น แต่เป็นคำตอบว่า ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่เลว”
…แม้กำหนดในภาพใหญ่ไว้แล้วว่าจะ “เลือกตั้ง” ได้ในดือน “กุมภาพันธ์ 2562” แต่เมื่อ มีชัย ฤชุพันธ์ุ เตรียมชงให้ สนช.ยื่น “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความ “พ.ร.บ. 2 ฉบับ” คือ การได้มาของทั้ง ส.ว.และ ส.ส.ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะเกิดความสงสัยว่าคือเกมที่จะขยับวันเลือกตั้งออกไปอีกครั้งหรือไม่ แม้จะชินกับ “การเลื่อนแล้วเลื่อนอีก และพร้อมจะลืมว่าก่อนหน้านั้นเคยประกาศไว้อย่างไร” แต่ “ผู้เป็นห่วงประชาธิปไตยทั้งหลาย” ก็อดที่จะใจหายไม่ได้ ส่วนที่ วิษณุ เครืองาม ยืนยันว่ายังเป็นไปตามโรดแมป คนที่เห็นว่า “มีน้ำหนักให้ต้องเชื่อ” นั้น น้อยลงเรื่อยๆ
…เสียงจาก พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. ในฐานะ “หนึ่งใน คสช.” ยืนยันว่า “คสช.” จะวางตัว “เป็นกลางทางการเมือง” จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการ “รักษาความสงบเรียบร้อย” ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ “หัวหน้า คสช.” ได้รับเสียงสนับสนุนให้ขรม จาก “พรรคการเมือง” ที่ตั้งขึ้นใหม่ ให้เป็น “ผู้นำประเทศต่อไป”
…ความคิดที่จะให้ “พรรคการเมือง” ผนึกกำลังเป็น “ภารกิจเฉพาะหน้า” เพื่อหาทางเอา “ประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับอำนาจประชาชนกลับมาดูว่าจะเป็นเรื่องยากขึ้น” เพราะระหว่าง “พรรคใหญ่” ความคิดที่สื่อกันออกมาในมิตินี้มีน้อยมาก ขณะที่ “ความเห็นในทางกระทบกัน ต่างฝ่ายต่างรับได้ไว” แปลง่ายๆ คือ “ความร่วมมือต้องระมัดระวังการแสดงออก ขณะรบราทำลายกันเป็นเรื่องที่ขยันทำมากกว่า” ความหวังผนึกพลังสู้ที่หลายคนเรียกร้องและพยายามทำให้เกิดขึ้นจึงให้ความรู้สึกว่า “ลมๆ แล้งๆ” เสียมากกว่า
…ความทุกข์ของ “นักลงทุน” ในจังหวัดท่องเที่ยว คือ “อาคารโรงแรมผิดกฎหมาย” ที่ก่อนหน้านั้น “ทำมาหากินเสียภาษีให้รัฐมาได้” แต่ถึงวันนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ถือเป็นเวลาที่จะต้องสะสาง ส่งผลให้ “หลายโรงแรมเสี่ยงต่อการล้มละลาย” การรักษากฎหมายเป็นเรื่องจำเป็น แต่ “ทุกข์ของนักธุรกิจ” ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจที่จะเข้าไปดูแล จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ระหว่างกฎหมายกับการทำมาหากินได้อย่างไร เป็นศิลปะการบริหารของผู้มีอำนาจที่สำคัญ “ไม่ควรใช้เป็นช่องทางหากิน”
ชโลทร