ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ถ้าจะประเมินปัญหาของประเทศไทยเรามาจัดอันดับความสำคัญเพื่อกำหนดความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการแก้ไขแล้ว
“ความแตกแยก” ควรจะเป็นปัญหาในอันดับต้นๆ หรือจะให้เป็นอันดับแรกที่จะต้องจัดการแก้ไข
คนไทยเราส่วนใหญ่ก็คงเห็นด้วย
หากยัอนกลับไปดูถึงเหตุที่ทำให้ประเทศเราต้องถอยหลังจากประชาธิปไตยกลายเป็นประเทศเผด็จการ
กระทั่งถูกออกแบบโครงสร้างอำนาจให้ประชาธิปไตยเป็นเปลือก ห่อเนื้อในที่เป็นอำนาจนิยมไว้อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะผู้มีอำนาจได้รับความชอบธรรมในฐานะผู้เข้ามาแก้ปัญหาความแตกแยก
ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับว่าประเทศต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถใช้อำนาจเด็ดขาดในการจัดการก็เพราะมองไม่เห็นวิธีอื่น ไม่มีความหวังว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจะแก้ปัญหาความแตกแยกได้
จะมีสักกี่คนที่ฝากความหวังในรัฐบาลทหารไว้ที่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ความสูญเสียที่สร้างความเศร้ารันทดให้คือ “สังคมไทยที่อยู่กันอย่างโอบอ้อมอารี พร้อมที่จะเข้าอกเข้าใจกัน อยู่ร่วมกันอย่างเคารพความแตกต่าง”
ไมตรีที่มีต่อกันของสังคมไทยนั้น สะท้อนอยู่ในคำพังเพยหลายๆ คำ ไม่ว่าจะเป็น “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” หรือกระทั่ง “อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา”
หรืออะไรทำนองนั้นอีกมายมายที่สะท้อนค่านิยมการอยู่ร่วมด้วยความเข้าใจและให้อภัยต่อกันและกัน
เป็นค่านิยมที่สร้างความสุขสงบให้สังคมไทยมายาวนาน
เป็นต้นทางของวัฒนธรรมสยามเมืองยิ้ม อันเป็นเสน่ห์ชวนประทับใจที่ผู้คนประเทศอื่นๆ ชื่นชม ชื่นชอบ
ปัญหาขัดแย้งทางความคิด ที่ขยายสู่ความแตกแยก อยู่ร่วมกันไม่ได้ทำลายค่านิยมนี้อย่างขุดรากถอนโคนไปเรื่อย
ก่อนหน้านั้น คนไทยทะเลาะกันในเรื่องการเมือง
เรื่องสีเสื้อ เรื่องสีผ้าโพกหัว เรื่องมือตบ ตีนตบ นกหวีด
จิตใจครอบงำด้วยปรารถนาจะเข่นฆ่าทำลายคนที่คิดต่าง
รัฐบาลประชาธิปไตยไม่ใช่แค่แก้ปัญหานี้ไม่ได้ แต่ยังถูกทำให้เป็นต้นเหตุของปัญหา
จนมีความคิดว่าจะต้องขจัดทิ้ง
สังคมไทยเสื่อมทรุดด้วยค่านิยมแห่งความเข้าใจและให้อภัยกันถูกทำลาย
การแก้ปัญหาความแตกแยกจึงควรเป็นเรื่องสำคัญระดับจำเป็นและเร่งด่วนที่สุดที่จะต้องจัดการ
เพื่อกู้คืนความดีงามกลับมา
ความดีงามของวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันอย่างโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนร่วมชาติ ร่วมสังคม
อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านจิตใจที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศที่ให้คุณค่าการพัฒนามนุษย์เป็นหัวใจ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง ที่การฟื้นคืนค่านิยมอันดีงามนี้ไม่ถูกทำให้เกิดขึ้น
ทุกวันนี้ ถ้าติดตามการแสดงออกของคนไทยเราจะพบว่า อ่อนไหวมากขึ้นเสียด้วยซ้ำกับความรู้สึกไม่อยากอยู่ร่วมกันกับคนเห็นต่างคิดต่าง
เอาเป็นเอาตายกันทุกเรื่อง จากความนิยมทางการเมือง จนถึงทรรศนะการเลือกดูละครทีวี
การใช้รถใช้ถนน การศึกษา เหมือนกับความไม่พอใจ ไม่ชอบใจกันนั้นแทรกอยู่ในทุกเรื่องในชีวิต
ขัดแย้งเอาตายกันได้หมด
ซึ่งนั่นเป็นเหตุของชีวิตที่เคร่งเครียด สังคมที่ครอบไว้ด้วยอารมณ์บาดหมาง
ทำให้ไม่มีความสุขในการอยู่ร่วมกัน
แต่ปัญหาสำคัญที่จำเป็นและเร่งด่วนในการแก้ไขสูงสุดนี้
กลับได้รับความใส่ใจน้อยกว่าการทำผลงานในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางวัตถุที่แม้จะจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ แต่ไม่ใช่ความคาดหวังแรกๆ ที่ประชาชนต้องการให้ใช้อำนาจเด็ดขาดในการจัดการ
อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาด ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะจัดการฟื้นคืนค่านิยมอันดีงามที่สุด กลับมุ่งสนใจสร้างผลงานด้านก่อสร้างวัตถุซึ่งจับต้องได้
การเยียวยา ปัญหาความขัดแย้ง แตกแยกที่ต้องการอำนาจเด็ดขาด จึงไม่เห็นความคืบหน้ามากนัก
สังคมไทยนับวันยิ่งพร้อมที่จะทะเลาะกันเอาเป็นตายในทุกเรื่อง
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าความจำเป็นต้องใช้อำนาจเด็ดขาดยังมีอยู่
เพราะไม่เช่นนั้นจะยากในการควบคุมความแตกแยกให้อยู่ในความสงบ