สีทีโอเอ ลุยอาเซียนผุด 3 โรงงานใหม่ ตั้งเป้ายอดขายโต 10%

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ผู้นำสีทาอาคารในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 2561 เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 15,717.7 ล้านบาท โดยมุ่งขยายตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

สำหรับการขยายตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จะเพิ่มปริมาณเครื่องผสมสีอัตโนมัติภายในร้านผู้แทนจำหน่ายและในห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่อย่างต่อเนื่องอีกประมาณ 400-500 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทยประมาณ 150-200 เครื่องและในภูมิภาคอาเซียนประมาณ 250-300 เครื่อง จากสิ้นปีที่ผ่านมาที่มีการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติแล้ว 6,010 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทย 4,204 เครื่อง และในภูมิภาคอาเซียน 1,806 เครื่อง

ส่วนการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตสี 3 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ใช้งบลงทุนรวมกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งโรงงานทั้ง 3 แห่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 ไตรมาส 4/61 และไตรมาส 1/62 ตามลำดับซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ เพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละประเทศและก้าวเป็นผู้นำสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนตามวิชั่นขององค์กร

ขณะที่ภาพรวมตลาดสีทาอาคารในปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศจะมีอัตราเติบโต 3-5% หรือมีมูลค่าตลาดกว่า 20,000 ล้านบาท ปัจจัยมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง การพัฒนารถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเมืองและความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่ง ส่วนแนวโน้มตลาดสีทาอาคารในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา จะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าประเทศไทย เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังขยายตัวและอัตราการบริโภคสีทาอาคารที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต

Advertisement

นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TOA กล่าวว่า หลังจากที่โรงงานผลิตทั้ง 3 แห่งในอินโดนีเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและการเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 13.2% เป็นประมาณ 15-16% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20% ภายในปี 2562 ส่วนในระยะยาวอีก 3-5 ปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 28%

สำหรับประเทศอินโดนีเซีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยหลังจากที่โรงงานใหม่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์วางแผนรุกสร้างแบรนด์เพิ่มขึ้น เพิ่มความหลากหลายของรายการสินค้า เพิ่มจำนวนร้านผู้แทนจำหน่ายและการติดตั้งเครื่องผสมสีอัตโนมัติ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2562 ส่วนในเมียนมาร์และกัมพูชาตั้งเป้ายอดขายในปี 2562 อยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และ 300-400 ล้านบาทตามลำดับ หลังจากที่โรงงานใหม่ประเทศดังกล่าวเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย

ทั้ง 3 ประเทศเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังอยู่ในช่วงเติบโตจากปริมาณความต้องการใช้ สีทาอาคารที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เช่น อินโดนีเซียมีอัตราการบริโภคสีทาอาคาร เฉลี่ยอยู่ที่ 6 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ประเทศไทยมีอัตราการบริโภคสีทาอาคารเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ลิตรต่อคนต่อปี และสิงคโปร์เฉลี่ยอยู่ที่ 15 ลิตรต่อคนต่อปี โดยมองว่าตลาดสีเกรดพรีเมียมมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เนื่องจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสีคุณภาพสูงที่ใช้งานได้ยาวนานเพื่อความคุ้มค่า

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image