นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวภายหลังเปิดงานสัมมนา”คลังข้อมูลการค้าไทย” ที่โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร ว่า ตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน กำหนดให้สมาชิกอาเซียนต้องจัดทำคลังข้อมูลการค้าสินค้าประกอบด้วยข้อมูลด้านกฎระเบียบ และกฎหมายการค้าของประเทศเผยแพร่เพื่อความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ กรมฯจึงจัดทำคลังข้อมูลทางการค้าไทย โดยเปิดใช้งานผ่าน www.thailandntr.com ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 ซึ่งข้อมูลที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ เช่น อัตราภาษีศุลกากร มาตรการที่มิใช่ภาษี กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า กฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกของไทย เป็นต้น โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการ
กรมฯเห็นประโยชน์ของการจัดทำคลังข้อมูลการค้าต่างๆ จึงได้พัฒนาและขยายคลังข้อมูลค้าไทยให้ครอบคลุมถึงข้อมูลการค้าบริการและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อมูลสาขาบริการ 12 สาขา กฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวกับการค้าบริการ ตารางข้อผูกพันภาคบริการ กฎหมายและข้อมูลด้านอิเล็กทรอนิกส์ และข้อบทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
โดยกรมฯร่วมมือจาก 66 หน่วยงานภายใต้ 17 กระทรวงที่ส่งข้อมูลกฎหมาย กฎระเบียบและประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้ากว่า 1,600 ฉบับให้กรมเจรจาฯ รวบรวมในคลังข้อมูล เช่น ข้อมูลพิกัดอัตราภาษีศุลกากรของกรมศุลกากร ข้อมูลกฎระเบียบนำเข้า-ส่งออกของกรมการค้าต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานเรื่องนี้ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้หน่วยราชการไทยจัดทำบิ๊กดาต้า เพื่อการรวบรวม วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ที่อาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะแหล่งข้อมูลด้านกฎระเบียบการค้าของไทยและของประเทศคู่ค้าในอาเซียนได้ คลังข้อมูลนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกการใช้งานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถใช้ฐานข้อมูลนี้ร่วมกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นคู่ค้า เพื่อร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย และอุตสาหกรรมของประเทศโดยรวม ให้แข่งขันในเวทีภูมิภาคและเวทีโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้
โดยผู้สนใจสามารถเข้าถึงคลังข้อมูลการค้าอาเซียนผ่านเว็บไซต์ atr.asean.org ไทยเป็นประเทศแรกๆ ของอาเซียนที่ได้เพิ่มข้อมูลกฎหมายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าบริการและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ไว้ในคลังข้อมูลการค้า และให้บริการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะยกระดับการจัดอันดับเริ่มต้นทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) และการอำนวยความสะดวกทางการค้าของไทยด้วย