นายอัทธ์ พิศาลวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการจัดงานสัมมนาวิชาการเรื่องเศรษฐกิจก้าวไกลแบบไทยเท่ว่า ข้อตกลงความครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) คล้ายกับการทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) แต่ครั้งนี้เป็นการรวมกลุ่มของหลายๆ ประเทศ เพราะฉะนั้นต้องดูผลกระทบทั้งห่วงโซ่การผลิตของกลุ่มด้วยว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งต้องคำนึงว่าไทยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาห่วงโซ่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งมองว่าไทยควรจะเข้าร่วมซีพีทีพีพี เพื่อไม่ให้ตกขบวน แต่จะต้องพิจารณาสินค้าที่มีศักยภาพแข่งขันได้ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเข้าร่วมความตกลง
“สินค้าเกษตรในกลุ่มข้าว มีศักยภาพที่จะแข่งขันได้และน่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมข้อตกลงซีพีทีพีพี เนื่องจากภาษีส่งออกข้าวไปญี่ปุ่นสูง เมื่อเข้าร่วมกลุ่มกันแล้วก็จะทำให้การส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในกลุ่มผลไม้และยางพาราก็น่าจะได้รับประโยชน์เช่นกัน ส่วนสินค้าเกษตรกลุ่มที่อาจจะเสียประโยชน์จากการเข้าร่วมข้อตกลงซีพีทีพีพี เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นกลุ่มปศุสัตว์ โดยเฉพาะโคเนื้อที่ต้องระวัง เนื่องจากโคเนื้อ (วากิว) ของญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าดีที่สุดอยู่แล้ว นอกจากนี้ต้องคำนึงสินค้าเกษตรและปศุสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ที่จะเข้ามาแข่งขันและเป็นอีกทางเลือกของลูกค้า และสุดท้ายจะทำให้ศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยต่ำลง” นายอัทธ์กล่าว
