เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) อรนภา หรือม้า กฤษฎี อายุ 63 ปี ดารา-พิธีกรชื่อดัง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ทรงพล หมอกกลั่น สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ป. เพื่อให้ปากคำกรณีรับจ้างรีวิวโฆษณาเฟรินวิตามิน ผลิตภัณฑ์ในเครือเมจิกสกิน โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง โดยหลังการเข้าให้ปากคำ ม้า อรนภา มีสีหน้ายิ้มแย้ม
ม้า อรนภา กล่าวภายหลังให้ปากคำว่า มาให้ปากคำในฐานะพยาน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาใดๆ เรื่องที่ตนไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนพร้อมดาราคาอื่นนั้นเป็นเพราะเพิ่งได้รับหมายเรียกมาที่บ้านเมื่อวาน หลังจากนั้นก็รีบโทรศัพท์มาสอบถามพนักงานสอบสวน กระทั่งนัดหมายมาให้ปากคำดังกล่า ยืนยันว่าไม่ได้หลบหนีตามที่เป็นข่าว ก็ทำงานเป็นพิธีกรออกทีวีอยู่จะหนีได้อย่างไร อย่างไรก็ตามส่วนเรื่องจะแจ้งความกลับกับบริษัท เมจิกสกิน นั้น ตนไม่คิดค้าความให้มันวุ่นวายแน่นอน
พิธีกรชื่อดัง กล่าวว่า กล่าวว่า ในส่วนคำให้การตนก็ตอบตามความเป็นจริงถึงที่มาที่ไปที่ได้เข้าไปรับงานริวิวสินค้าตัวดังกล่าว เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วมีคนกลางมาติดต่อตนให้รีวิวสินค้า โดยได้ค่าจ้าง 20,000 บาท อีกทั้งตนเป็นดารา เป็นพิธีกร คืออาชีพเราอยู่แล้ว ใครมาจ้างให้รีวิวสินค้าก็รับ ต่อมาเขาก็นำสินค้าพร้อมสคริปท์มาให้ เมื่อเปิดข้างกล่องสินค้าก็มีรายละเอียดชัดเจนดี ทั้ง อย. วันที่ผลิตและหมดอายุ ดูแล้วน่าเชื่อถือ จึงรีวิวให้และยอมรับเป็นความผิดพลาดของตนเองที่ไม่เคยลองใช้สินค้าก่อน
“ยอมรับว่าเราผิดเองที่ไม่ยอมตรวจสอบดูให้ดีก่อนรีวิว อีกทั้งยังไม่ได้ทดลองใช้ ซึ่งก็ยอมรับในความผิดพลาดเพราะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถูกเขาหลอก ส่วนข้อหานั้นเจ้าหน้าที่บอกว่าอาจจะเข้าข่าย โกหก หลอกลวง มีโทษทั้งจำและปรับ อย่างไรก็ตามทางตำรวจได้ขอร้องเหล่าดาราคนมีชื่อเสียง หรือ พวกเน็ตไอดอลว่า เวลาจะโฆษณาหรือรีวิวสินค้าอะไรให้ตรวจสอบให้ดีก่อน เพราะคนมีชื่อเสียงเวลาพูดอะไรประชาชนก็จะเชื่อถือ” ม้า อรนภา กล่าว
ม้า อรนภา กล่าวอีกว่า หลังข่าวนี้แพร่กระจายออกไปได้เกิดผลกระทบกับครอบครัวอย่างมาก โดยเฉพาะแม่ที่อายุ 93 ปี ท่านตกใจและกลัวมาก เพราะเป็นห่วง เนื่องจากเป็นลูกคนเดียวอีกทั้งที่ผ่านมาก็ประคับประคองความรู้สึกของคุณแม่มาโดยตลอด หลังเกิดเรื่องเชื่อว่าต่อไปเจ้าของสินค้าจะต้องคิดให้มากขึ้นว่าสินค้าทุกอย่างก่อนนำสู่ตลาดและให้ดารารีวิวจะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน
ด้านพ.ต.ท.ทรงพล กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำไว้ก่อน และเป็นคำให้การที่มีประโยชน์ต่อรูปคดี ยังไม่มีการแจ้งข้อหาแต่อย่างใดต้องสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อนแล้วจะรวบรวมพยานหลักฐานเข้าห้องประชุมเสนอเรื่องให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.และคณะพนักงานสอบสวนพิจารณาอีกทีว่าบุคคลใดเข้าข่ายกระทำความผิดข้อหาใดบ้างต่อไป
