เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยถึงกรณี กลุ่มข้าราชการตำรวจสังกัด ภ.จว.เลย จำนวน 192 นาย เข้าร้องเรียนกรณี เกิดการทุจริตโครงการ “กู้รวมหนี้” ของสหกรณ์ออมทรัพย์ ภ.จว.เลย มูลค่ากว่า 229 ล้านบาท ว่าได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ว่าเมื่อปีงบประมาณ 2560 ช่วงเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2560 ข้าราชการตำรวจใน สังกัด ภ.จว. เลย จำนวน 192 นาย ซึ่งเป็นสมาชิกของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย ได้เข้าร่วมโครงการ “บริหารหนี้” ของ พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช รองผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ซึ่งเป็นผู้บังคับการจังหวัดเลยในขณะนั้น โดยมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ฯให้มีการบริหารจัดการหนี้สินที่มีอยู่กับสหกรณ์ฯจำนวนไม่เกิน 4,000,000 บาท ให้หมดไปโดยเร็วถ้าไม่หมดก็ให้ทุเลาเบาบางลง แต่ต่อมาทางผู้บริหารโครงการไม่ได้ทำตามข้อตกลง ทำให้ข้าราชการตำรวจที่มาร้องเรียนยังคงเป็นหนี้อยู่ได้รับความเดือดร้อน
“ในกรณีดังกล่าวนั้น ทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค4 ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มข้าราชการตำรวจทั้ง 192 ไว้แล้ว ซึ่งจะทำการตรวจสอบ โดยการตั้งกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ใช้เวลาการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ขณะนี้จะต้องรอความชัดเจนจากผลการตรวจสอบก่อน แม้ว่าผู้ถูกร้องเรียนแม้จะเป็นข้าราชการตำรวจระดับสูง ก็จะดำเนินการอย่างจริงจังเพราะถือว่าเป็นความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจจำนวนมาก ทั้งนี้ว่ากันตามพยานหลักฐาน ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการกระทำผิดก็จะดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งทางผิดอาญาและทางวินัย อีกทั้งต้องตรวจสอบด้วยว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ หรือถ้าเกี่ยวพัน เชื่อมโยงกับบุคคลในหลายภาคส่วน ก็จะประสาน ปปง. ป.ป.ช. ตรวจสอบร่วมกัน ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ถือเป็นข้อผูกพันกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่อย่างใด” รองโฆษกตร.กล่าว
พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวว่า ได้รายงานให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รับทราบแล้ว ผบ.ตร.ได้กำชับให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รวดเร็ว ถูกต้องตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย ขณะนี้ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 รายงานขึ้นมาก่อน ซึ่งคณะทำงานมีอิสระในการดำเนินการ หากพบเป็นความผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ทั้งทางวินัยและอาญา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเป็นธรรมให้กับข้าราชการตำรวจทุกฝ่าย ทั้งนี้ จะเร่งรัดการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อความชัดเจนและสามารถตอบคำถามของสังคมได้ต่อไป