นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวผลการทำงานช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาว่า ช่วงที่เหลือของการทำงานกระทรวงพาณิชย์จะเร่งขับเคลื่อนใน 3 ด้านด้วยกันคือ เศรษฐกิจฐานราก (โลคอล อีโคโนมี่) เศรษฐกิจใหม่ (นิว อีโคโนมี่) และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ (โกลบอล อีโคโนมี่) ตามแนวทางของรัฐบาล โดยในส่วนแรกต้องการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน สร้างการเจริญเติบโตอย่างสมดุลและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเน้นการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ทำให้ข้าวหอมมะลิและมันสำปะหลังมีราคาสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยราคาข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 15,500-18,700 บาทต่อตัน ขณะเดียวกันไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก และชนะการประมูลข้าวอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้น 14.5% ราคาหน้าโรงงานสูงกว่า 10 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) มันสำปะหลัง หัวมันเชื้อแป้ง 25% ราคาเพิ่มเป็น 3.15 บาทต่อกก.จากปี 2560 ที่ 1.7 บาทต่อกก.จากเจรจาขยายตลาดจีน ตลาดใหม่ และการดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การพักชำระหนี้ การแปรรูปหัวมันเป็นมันเส้น การสนับสนุนเครื่องสับมันเพิ่มมูลค่า
ในส่วนสินค้าเกษตรอื่นๆ อย่างผลไม้ ก็จะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์มหานครผลไม้โลก ทั้งในด้านคุณภาพ รสชาติ ปริมาณ และการค้า เพื่อยกระดับเป็นเทรดดิ้งเนชั่น โดยส่งเสริมทุเรียนเป็นสินค้านำร่อง นอกจากนี้แล้วจะรักษาเสถียรภาพราคาลำไย กระเทียม และอื่นๆ เช่น ปาล์มน้ำมัน เพื่อป้องกันสินค้าล้นตลาด โดยกำหนดมาตรการเพิ่มเติมร่วมกับกระทรวงพลังงานผ่านการประกาศใช้ดีเซล บี 20 และเตรียมรวบรวมมาตรการดูแลราคาปาล์มน้ำมันเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็วๆ นี้
