ฟิสิกส์ธรรมดา สาระมันส์ : การปฏิวัติทางความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด : โดย อาจวรงค์ จันทมาศ

แนวคิดใดทางวิทยาศาสตร์ที่ปฏิวัติมุมมองที่มนุษยมีต่อธรรมชาติมากที่สุด?

คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับยุคสมัยและแขนงวิชา แต่การปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดครั้งแรกจริงๆ น่าจะเริ่มจากแนวคิดของนักบวชชาวโปแลนด์ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) ผู้มีความกล้าพอที่จะเผยแพร่ความคิดอันยิ่งใหญ่นั้นสู่สาธารณชน

โลกในยุคของโคเปอร์นิคัสนั้นเป็นโลกที่คำสอนของอาริสโตเติลทรงอิทธิพลและครอบงำความคิดของผู้คนมาตลอด ซึ่งหนึ่งในคำสอนที่เชื่อถือกันมาอย่างเหนียวแน่นคือ โลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ คำสอนนี้สอดคล้องกับความเชื่อของศาสนาคริสต์ในยุคนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง อย่าว่าแต่โต้แย้งเลย เอาแค่นึกสงสัยก็ยังไม่มีใครกล้านึก หรือต่อให้คนกล้านึกสงสัยก็คงไม่กล้าแสดงออก

อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าแนวคิดเรื่องโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพนั้นค่อนข้างสอดคล้องกับสามัญสำนึกและการสังเกตมาก มนุษย์ในยุคโบราณล้วนแล้วแต่สังเกตเห็นว่าโลกนั้นอยู่นิ่ง ไม่ได้หมุนหรือโคจรไปไหน เพราะถ้าโลกเคลื่อนไหวจริงๆ เราก็น่าจะรู้สึกเหมือนถูก “เหวี่ยง” บ้าง (ทุกวันนี้ นักฟิสิกส์รู้ดีว่าโลกเหวี่ยงเราได้จริงๆ และใช้ประโยชน์จากการเหวี่ยงของโลกในการส่งจรวดได้ด้วย ซึ่งจะเล่าให้ฟังครั้งหน้าๆ นะครับ) แต่เรากลับไม่รู้สึกถึงการเหวี่ยงเลย

Advertisement

นอกจากนี้ เมื่อมองไปบนท้องฟ้า มนุษย์เราเห็นว่าทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ล้วนแล้วแต่เคลื่อนไหวไปรอบๆ โลกอย่างชัดเจน ใครเล่าจะไปคิดว่าโลกของเรานั้นเคลื่อนไหวโคจรรอบดวงอาทิตย์

อะไรผลักดันให้นักบวชคนหนึ่งหยิบโลกออกจากศูนย์กลางไปโคจรรอบดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรเมื่อเทียบกับการได้เป็นศูนย์กลาง ความคิดในลักษณะนี้เป็นความคิดต้องห้ามที่เสี่ยงต่อการเผาทั้งเป็นซึ่งเป็นการประหารที่โหดร้ายทรมานอย่างยิ่ง

คำตอบต้องย้อนกลับไปมองแนวคิดเดิมก่อน

Advertisement

คนสมัยโบราณในยุคสมัยของอาริสโตเติลนั้นแบ่งดาวบนท้องฟ้าออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์

เด็กทุกวันนี้เรียนกันในห้องเรียนว่าดาวฤกษ์แตกต่างจากดาวเคราะห์เพราะดาวฤกษ์นั้นมีแสงสว่างด้วยตัวเอง ส่วนดาวเคราะห์นั้นไม่มีแสงสว่าง แต่ได้รับแสงจากดาวฤกษ์จึงปรากฏสว่างได้

สิ่งที่เราสอนกันทุกวันนี้นับว่าถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงของยุคสมัย

แต่หากเราย้อนไปในสมัยโบราณเมื่อสองพันปีก่อน พวกเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าดาวดวงไหนบนท้องฟ้าที่เปล่งแสงออกมาเอง หรือดวงไหนที่ไปสะท้อนแสงจากดาวดวงอื่น

พวกเขานิยามดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์ต่างไปจากที่ทุกวันนี้กำหนดนิยามกัน

ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น อาทิตย์หน้าจะเล่าให้ฟังครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image