ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
มีนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ออกมาตั้งคำถามว่า
สังคมไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
จุดที่การดำเนินการ “จัดระเบียบ” หรือการยกกองกำลังไปจับ “เหี้ย” ในสวนสาธารณะ ลุมพินี
เป็นข่าวเกรียวกราวทั้งในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์
เป็นที่สนใจของข่าวโทรทัศน์
รวมไปถึงการถ่ายทอดสดแบบ “ไลฟ์สตรีมมิ่ง” ในเว็บไซต์ข่าวหลายสำนัก
เป็นการตั้งคำถามที่มิได้พุ่งเป้าแต่เฉพาะการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทั่วไป
แต่ลงลึกไปถึง “รสนิยม-ความสนใจ” ของสังคมไทย
ว่าเกิดอะไรขึ้น
กระนั้น ภาวการณ์เช่นนี้ก็มิใช่ของใหม่ในสังคมไทย
นิตยสารสารคดีฉบับเดือนเมษายน 2554 ที่ทำสารคดีประวัติของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ระบุว่า
หลัง “กบฏแมนฮัตตัน” ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2494
รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศกฎอัยการศึก พร้อมกับมีนโยบายให้ตรวจข่าว (เซ็นเซอร์-censor) หนังสือพิมพ์
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์สยามรัฐไม่พอใจ
ประกาศหยุดคอลัมน์ประจำที่เขียนทั้งหมด
รวมทั้งนิยาย “สี่แผ่นดิน”
และสยามรัฐประท้วงการตรวจข่าว ด้วยการเสนอข่าวที่ “ปราศจาก” การเมือง
เช่น
ต้นหมากที่หลังโรงพิมพ์มีกี่ต้น หน้าต่างตึกกระทรวงกลาโหมมีกี่บาน จำนวนเมฆคิวมูโลนิมบัสที่ลอยผ่านพระนครไปเมื่อวานนี้
หรือตุ๊กแกของไทย ร้องไม่เหมือนกับตุ๊กแกฝรั่ง และตุ๊กแกไหหลำอย่างไร
รวมถึงข่าวพาดหัวหน้า 1 ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2494
“รายงานข่าวด่วนจากคึกฤทธิ์
พระอาทิตย์ที่หัวหินขึ้นผิดทางกับศรีราชา
สงสัยพระอาทิตย์มี 2 ดวง?”
เนื้อข่าวกล่าวว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปสังเกตการณ์ทางธรรมชาติวิทยา ที่หัวหิน ค้นพบว่าอาจมีพระอาทิตย์มากกว่า 1 ดวง
เพราะที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี พระอาทิตย์ขึ้นจากภูเขาและตกในทะเล
ต่างจากที่ชายหาดหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่พระอาทิตย์กลับขึ้นจากทะเลแล้วตกไปทางภูเขา
หนังสือพิมพ์สยามรัฐกลับคืนสู่ภาวะปกติ ก็เมื่อรัฐบาลยุติการตรวจข่าวในเดือนถัดมา
และยกเลิกกฎอัยการศึกในเดือนกันยายน
อีกครั้งเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2557
1 วันหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ประกาศกฎอัยการศึก
1 วันก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม
กองอำนวยการรักษาความสงบออกคำสั่งฉบับที่ 9/2557
ห้ามเจ้าของกิจการสื่อสิ่งพิมพ์และรายการวิทยุโทรทัศน์ทุกประเภท บรรณาธิการ พิธีกร และสื่อมวลชน เชิญบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มิได้ดำรงตำแหน่งราชการในปัจจุบัน ทั้งในส่วนของข้าราชการและนักวิชาการ รวมทั้งอดีตผู้ปฏิบัติงานในศาล และกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนองค์กรอิสระ
ให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็น ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดการขยายความขัดแย้ง บิดเบือน และสร้างความสับสนให้กับสังคม รวมทั้งอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาด
หากฝ่าฝืนจะถูกเรียกตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ระงับการจำหน่ายจ่ายแจกสื่อสิ่งพิมพ์
และการออกอากาศของรายการ
โดยพลัน ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองนักวิชาการในกลุ่มสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ที่ยืนหยัดเรียกร้องประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง
ที่พากัน “ปฏิบัติตาม” คำสั่งของ กอ.รส.อย่างเคร่งครัด ด้วยการโพสต์กิจวัตรประจำวันของตัวเองในเฟซบุ๊กส่วนตัวกันอย่างครื้นเครง
อาทิ
“วันนี้เก็บปัสสาวะได้สองขวดกว่าๆ เตรียมไปยื่นห้องแล็บเพื่อตรวจไต” –ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ “กำลังรอประกาศห้ามกดไลค์ ห้ามนักวิชาการเล่นเฟซบุ๊ก ออกมาเมื่อไหร่ดิฉันจะลาไปเป็นนางงาม เพื่อนบอกว่าอวบใช้ได้” –ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
“วันนี้เล่นกะมะหมาพันธุ์บีเกิ้ล 4 ตัวที่บ้านอย่างหนุกหนาน” –เกษม เพ็ญพินันท์ นักวิชาการด้านปรัชญา
“วันนี้กินเย็นตาโฟเส้นหมี่ใส่ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง และปลาหมึก อร่อยมากๆ อยากให้ทุกคนได้ลองแล้วจะติดใจ”
ผศ.ดร.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
สองกรณีข้างต้น
พอจะช่วยตอบได้ว่า
สังคมไทยมาถึงจุดที่การเสนอข่าว “จับเหี้ยสวนลุมฯ” เป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างไร