มูลนิธิผู้บริโภคพบแซนวิสไก่อบเปื้อนยาปฏิชีวนะ ตกใจแม่ขายไก่ป๊อบ ลูก 6 เดือนป่วยติดเชื้อดื้อยา

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) แถลงข่าว”ยังพบมีการใช้เนื้อสัตว์ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะในอาหารฟาสฟู๊ด ว่า ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อได้เก็บตัวอย่างอาหารฟ๊าสฟู๊ด อาทิ ไก่ทอด นักเก็ต สเต็กหมู สเต็กไก่ เนื้อ ในร้านจำหน่ายอาหารฟาสฟู๊ดที่มีหลายสาขา 18 ตัวอย่างเพื่อตรวจหายาปฏิชีวนะ 6 ชนิด พบเพียงแซนวิสไก่อบของร้านแห่งหนึ่งมียาปฏิชีวนะเตตตร้าไซคลีน (Tetracyline) 13.73 ไมโครกรัมต่อ 1 กิโลกรัม ไม่เกินค่ามาตรฐานสากลที่อนุญาตให้ใช้ที่ 200 ไมโครกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม แต่เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยมีการใช้ยาปฏิชีวนะในการบวนการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นอยากเรียกร้องผู้ประกอบการอาหารฟ๊าสฟู๊ดรายใหญ่หรือผู้เลี้ยงสัตว์รายใหญ่มีนโยบายและแผนการลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ เลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดยาปฏิชีวนะ 2.ให้นักวิชาการภายนอกเข้าไปตรวจสอบการดำเนินการของบริษัทได้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำไห้ปัญหาเชื้อดื้อยา และการใช้ยาในการเลี้ยงสัตว์ลดลง ประชาชนมีปัญหาสุขภาพลดลง หากไม่ทำอะไรเลยมีการคาดการณ์ว่าอีกไม่กี่ปีจะมีคนเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยากว่า 50 ล้านคนทั่วโลก

รศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ ประธาน มพบ.กล่าวว่า ตามปกติการเลี้ยงสัตว์จะให้ยาปฏิชีวนะเมื่อป่วยเท่านั้น และใช้ในปริมาณที่สามารถทำลายเชื้อโรคได้หมด ไม่ให้เหลือเชื้อโรคแม้แต่เซลล์เดียว เพราะมันต่อสู้เพื่อให้ตัวเองรอด และสามารถแพร่จำนวนได้มหาศาลภายใน 15 นาที แต่ปัญหาคือในหลายประเทศทั่วโลก และประเทศไทยมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อการป้องกันโรค เพื่อเร่งการเจริญเติบโตย่นระยะเวลาในการเลี้ยงดูให้สั้นลง ซึ่งถือเป็นการใช้ยาที่ไม่สมเหตุผล ทำให้ยานั้นตกค้างในอวัยวะของสัตว์ เครื่องใน ผิวหนัง เนื้อบางส่วนแล้วแต่กลุ่มของยาปฏิชีวนะ ในขณะที่ผู้บริโภคมักเข้าใจว่ายานั้นจะหายไปได้จากการชำแหละ และกระบวนการปรุงอาหาร แต่ปัญหาคือประเทศไทยมีการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ จึงมีโอกาสตกค้าง และก่อให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ ทั้งนี้เมื่อรับเชื้อเข้าไปแล้วสามารถทำให้เกิดการดื้อยาได้ภายใน 24 ชั่วโมง และมีข้อมูลว่า เชื้อดื้อยาจะมียีนที่สามารถดื้อต่อยาข้ามกลุ่มได้ ดังนั้นอย่าใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นเพราะ ถ้าใช้ต้องให้ครบโดส ที่สำคัญคือในภาคการเลี้ยงสัตว์นั้นภาครัฐก็ต้องกำกับให้มีการใช้เพื่อการรักษาโรคเท่านั้นไม่ใช้เพื่อเร่งการเจริญเติบโค รวมถึงอย่าปล่อยน้ำหรือของเสียจากแหล่งที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่บำบัด ซึ่งประเทศไทยมีปัญหานี้มาก

พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ แพทย์ประจำสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า เด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อดื้อยามากที่สุดโดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่อยู่ตามสถานเลี้ยงเด็กเนื่องจากเมื่อมีการอยู่รวมกันเป็นหมู่มากก็เจ็บป่วยง่าย พ่อแม่เป็นห่วงมาก บางคนซื้อยาปฏิชีวนะมาให้ลูกกิน หรือเวลาไปหาหมอก็จะเจาะจงตัวยาซึ่งบางครั้งหมอก็สั่งจ่ายให้ตามนั้น ตรงนี้เป็นปัญหามาก ที่ผ่านมาตนเคยพบเด็กอายุเพียง 6 เดือนป่วยติดเชื้อดื้อยาทั้งๆ ที่กินเพียงนมแม่เท่านั้น เมื่อสอบประวัติพบว่าแม่มีอาชีพขายไก่ป๊อบอยู่ ดังนั้น ดังนั้นหากจัดการอาหารไม่ดีก็จะเกิดการดื้อยาได้ต้องระวัง

ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานวิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า ประเทศไทยเคยมีรายงานวิจัยพบคนไทยติดเชื้อดื้อยาประมาณ 88,000 คน เสียชีวิต 20,000-38,000 คนต่อปี ส่งผลให้มีความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 46,000 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุมาจากกรใช้ยาไม่สมเหตุผล อย่างในต่างจังหวัดมีการศึกษาพบพฤติกรรมใช้ยาตามเพื่อนบอก ตัวไหนดีก็ใช้ตาม แล้วก็ใช้ไม่ครบโดส ใช้ซ้ำๆ บางคนใช้โรยแผล ซึ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้นต้องย้ำเตือน และเฝ้าระวังอย่าใช้ยาเกิน ใช้ไม่สมเหตุผล โดยเฉพาะกรณีป่วยไข้หวัด ท้องเสียนั้นไม่ควรใช้เพราะกว่าร้อยละ 80 เกิดจากเชื้อไวรัสใช้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล รวมถึงแผลสดก็ไม่ควรใช้ นอกจากนี้ต้องเฝ้าระวังการดื้อยาในโรงพยาบาล เฝ้าระวังเรื่องการกระจายยาตั้งแต่การนำเข้า ผลิต และถึงมือเกษตรกร และผู้บริโภค

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image