‘พ่อ’ โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ผู้เขียนได้ไปกราบนมัสการ “พระเจ้าตนหลวง” ที่วัดศรีโคมคำ ในอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา และได้รับหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “พ่อพระในบ้าน” การตอบแทนพระคุณพ่อของท่านพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญา นันทภิกขุ) ทำให้ผู้เขียนนึกถึง “เตี่ย” หรือ “พ่อ” ที่เสียไปแล้วตั้งแต่ปี 2511 เมื่อได้อ่านโดยละเอียดตลอดเล่มแล้ว รู้สึกมีคุณค่าควรแก่การเผยแพร่ให้ได้รับรู้ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กวัยเรียน เพื่อให้รับรู้และปฏิบัติตามคำสอนของ “หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” แห่งวัดชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

สำหรับเรื่องเตี่ยนั้น เมื่อท่านอายุ 68 ปี ป่วยด้วยโรคอัมพาตเรื้อรังเป็นอยู่นาน 5 ปี จึงได้เสียชีวิต ภาระหนักจึงตกมาที่แม่ แม้เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่ “คุณแม่” ซึ่งต้องดูแลลูกๆ ในครอบครัว และกิจการต้องดำรงอยู่ให้ได้และมีคุณภาพ และลูกๆ ในขณะนั้นก็พยายามปฏิบัติตนให้เป็นลูกที่ดีอยู่ในธรรมอันควร จนเติบโตแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้

และพุทธธรรมในคำสอนของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ก็ละม้ายใกล้เคียงกัน จึงขอยกมาให้ได้ทัศนา เพื่อให้ได้รู้แจ้งว่าลูกทุกๆ คน ควรปฏิบัติอย่างไรในฐานะเป็น “บุตร” ซึ่งหลวงพ่อได้ให้คติธรรมสอน…ความว่า…

เรื่องความตายนี้เป็นธรรมดาของชีวิต คนทุกคนเกิดมาแล้วตายด้วยกันทั้งนั้น บางคนตายเมื่อเป็นเด็ก บางคนตายเมื่อเป็นหนุ่มสาว บางคนตายเมื่อเป็นผู้ใหญ่ บางคนตายด้วยความชรา บางคนตายที่บ้าน บางคนตายในป่าในทุ่ง บางคนตายในห้องน้ำ ห้องนอน บางคนไปตายที่ไกลๆ ด้วยเรื่องอุบัติเหตุ และอะไรๆ ต่างๆ นานา หรือสาเหตุตายนั้นมีอยู่มาก เราเลือกไม่ได้ เลือกเวลาไม่ได้ เลือกสถานที่ก็ไม่ได้ เลือกรูปให้ตายก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีใครจะหนีสิ่งเหล่านี้ไปได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องตายทั้งนั้น : พระคุณพ่อเลิศฟ้า มหาสมุทร พระคุณพ่อสูงสุด มหาศาล พระคุณพ่อเลิศหล้า สุธาธาร ใครจะปานพ่อฉัน นั้นไม่มี

Advertisement

คำกลอนที่หลวงพ่อให้มานั้น ปรารถนาที่จักแสดงให้ผู้ที่เป็น “ลูก” ทุกคนได้รับรู้ และน้อมรำลึกบูชาในพระคุณพ่อที่มีต่อลูกอย่างสูงสุด และมหาศาลยิ่งนัก จนมิอาจประมาณได้ อันได้ชื่อว่าเป็นพ่อหรือเตี่ยของลูกนั้น มีพระคุณอันสูงสุดด้วยเหตุที่ได้ก่อเกิดลูกมาร่วมกับแม่ ซึ่งถ้าไม่มี “พ่อ”… ลูกรักไม่มีโอกาสที่จะเกิดมาดูโลกได้เลย ถึงแม้ว่าพ่อจักมิได้อุ้มท้องเรามาเหมือนกับแม่ เพราะ “พ่อ” ทำหน้าที่ของพ่อในการดูแลสุขทุกข์ และทำมาหาเลี้ยงในครอบครัวให้มีความสุขสบาย ด้วยพ่อปรารถนาให้ลูกได้เติบโตเป็นคนดี มีการศึกษาดี มีความเจริญแห่งชีวิตลูกในภายภาคหน้า และถึงแม้ว่าการทำมาหาเลี้ยงครอบครัวจะทำให้พ่อได้รับความเหนื่อยยากลำบาก และต้องฝ่าฟันอุปสรรคเพียงใดก็ตาม แต่พ่อก็ไม่ได้ปริปากบ่นแต่คำเดียว โดยเฉพาะในบางครอบครัวพ่อแม่ไม่มีเงินติดบ้าน แม้แต่บาทเดียวก็ยังไม่บอกลูก แต่ต้องต่อสู้ดิ้นรนอดทน ทำมาหากินรับจ้างเพื่อหารายได้ให้ครอบครัวให้จนได้ แม้จะเพียง 5, 10, 100 บาท ก็ยังมีคุณค่า เพราะด้วย “ความรัก” ของ “พ่อ” ที่มีต่อลูกนั่นเอง

พ่อคือผู้นำครอบครัว : ตราบใดที่พ่อเสียชีวิตไปแล้ว หรือเตี่ยยังอยู่เราควรคิดอย่างไร ควรทำอะไร คือเราทุกคนจะต้องคิดว่าเวลานี้คุณพ่อไม่มี ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว แต่ยังมีอยู่อีกคนหนึ่งคือ “คุณแม่” จะอยู่กับเรา อีกนานเท่าใดก็ไม่รู้ ถึงเวลาท่านก็ต้องไปเหมือนกัน ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์อะไร แต่หากว่าเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่… เราจะดีใจว่าท่านยังไม่จากเราไป แล้วเราควรจะอยู่กันอย่างไร?… คือ เรื่องในครอบครัวก็มีพ่อ มีแม่ มีลูกผู้หญิง ลูกผู้ชาย ประกอบกันขึ้นเป็นครอบครัวตามธรรมดาสามัญเยี่ยงปุถุชน ครอบครัวนั้นก็มีพ่อเป็น “ผู้นำ” เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว เป็นผู้นำในครอบครัวทุกชาติ ทุกภาษา คือเหมือนกันหมดว่า “พ่อบ้าน” นี้เป็นผู้นำในครอบครัว แม่บ้านเป็นผู้ช่วยหรือพ่อบ้านก็เรียกว่าเป็นผู้ตามพ่อตามแม่ อยู่กับพ่อแม่ แล้วลูกๆ ทุกคน

พ่อมีหน้าที่ดูแลครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ทำมาหากิน หาเงินหาทอง สร้างเนื้อสร้างตัวให้เป็นหลักเป็นฐาน เพื่อความมั่นคงของครอบครัว เพื่อความเจริญก้าวหน้าของบุตรธิดา

Advertisement

“แม่” คือ ผู้ช่วยเหลือพ่อบ้านในการทำงาน โดยเราเรียกว่าเป็น “ช้างเท้าหลัง” พ่อเป็นช้างเท้าหน้า ช่วยเหลือพ่อบ้านให้ทำงานสะดวก มีอะไรพอช่วยได้ก็เข้าไปช่วย ช่วยกันจัด ช่วยกันทำ เพื่อให้กิจการต่างๆ ที่ทำนั้นสำเร็จได้ด้วยดี ไม่ขัดคอ ไม่เถียงทะเลาะกันในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ นานา อยู่กันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลมเกลียวกัน อันเหมือนน้ำกับน้ำนมที่เข้ากันได้ แต่น้ำกับน้ำมันมันเข้ากันไม่ได้ น้ำมันจะลอยอยู่ข้างบน แต่น้ำจะอยู่ข้างล่าง…ไม่เข้ากันเลย แต่ถ้าเป็นน้ำกับน้ำนมผสมกันแล้ว ยิ่งชงคนด้วยช้อนจะเข้ากันได้ด้วยความเรียบร้อยไม่แยกจากกัน

การเลี้ยงลูกของพ่อแม่นั้น ก็มีหน้าที่ว่า “ห้ามไม่ให้กระทำความชั่ว แนะนำให้ลูกทำความดี ให้ศึกษาวิชาการต่างๆ เพื่อเป็นทานสำรองสำหรับเอาไปใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จบการศึกษาแล้วหางานการให้ทำ เพื่อจะได้สร้างเนื้อสร้างตัวได้ เมื่อมีงานมีการทำเป็นหลักฐาน แล้วถึงเวลาก็หาคู่ครองที่สมควรเหมาะสมให้ คือ คู่ครองที่มีความรู้ ความสามารถ มีอะไรดีๆ งามๆ มาอยู่ด้วยกัน ที่เรียกกันว่า… “หาคู่ครองที่สมควรให้” มีเงินมีทองก็มอบให้เขาบ้าง เพื่อเอาไปสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างตนให้เป็นหลักฐานต่อไป เมื่อได้เป็นเหย้าเป็นเรือน เป็นหลักเป็นฐานแล้ว พ่อแม่ก็สบายใจ นั่งดูด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เมื่อเห็นลูกเราตั้งเนื้อตั้งตัวได้ แต่ถ้าเกิดขัดข้อง มีอะไรผิดปกติก็จะทนไม่ได้ ไม่ดูดาย วางเฉย ต้องเข้าไปช่วยเหลือเจือจุนตามฐานะ เพราะใจของ “พ่อแม่” นั้นมีแต่ความเมตตา กรุณา ปรานี

หากลูกๆ มีครอบครัวดี ประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรือง พ่อแม่มีแต่ความหวังดีตลอดเวลา ก็จะรู้สึกยินดี ดีใจด้วย ประหนึ่งว่า…”พ่อแม่คือพระพรหมของลูก” ไม่มีพ่อแม่คนใดที่จะหวังร้ายต่อลูกแม้แต่นิดเดียว ไม่มีพ่อแม่คู่ใดที่จะทำให้ลูกตกต่ำมีแต่ต้องการให้ลูกมีความสุข เจริญก้าวหน้ากันทั้งนั้น

พ่อแม่ดุก็ด้วยความปรารถนาดี เราผู้เป็นบุตรเป็นธิดา บางทีพ่อดุแม่ว่า บางทีเราก็บ่นท่านว่าไม่รักเรา… รักคนนั้นรักคนนี้ อันนี้เรียกว่าพูดด้วยความไม่ประสีประสา ไม่รู้อะไร…ความจริงที่พ่อดุแม่ว่าเรานั้น ดุว่า…ก็ด้วยความปรารถนาดี ต้องการให้เราเป็น “คนดี” ไม่ใช่เรื่องอะไร เมื่อเห็นว่าไม่ดีไม่ถูกก็ต้องดุต้องว่า บางทีก็ต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง เพื่อให้เกิดความสำนึกรู้สึกตัว จะได้ตะล่อมกล่อมเกลาเข้าหนทางที่ดี ที่ชอบ ที่ควรต่อไป ภาษิตไทยท่านว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”

การตอบแทนพระคุณของพ่อ : เมื่อเราเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ มีงานการทำเราต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ จะทำได้อย่างไร? ท่านเลี้ยงเรามา…เราต้องเลี้ยงท่านตอบ ช่วยทำกิจการงานให้ท่านเบาใจ งานอะไรที่ท่านจะทำจะจัดจะสร้าง เราพอจะเข้าไปรับภาระช่วยจัดช่วยทำได้ เราก็รีบเข้าไปช่วยจัดช่วยทำงานนั้นๆ ให้ท่านเบาใจ ให้ท่านดีใจว่า… ลูกมันรู้จักหน้าที่ มีวินัยที่ดี ไม่ดูดาย ไม่เมินเฉย ช่วยเหลือในกิจการงานนั้นๆ ตามความสามารถที่เราสามารถที่จะช่วยท่านได้ พ่อแม่ก็สบายใจ มีความสุข เมื่อเวลาท่าน… “เจ็บไข้ได้ป่วย” เราก็ต้องรีบเอาใจใส่ ดูแลรักษา ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ซักผ้าที่เปรอะเปื้อน ปูที่หลับปัดที่นอนให้เรียบร้อย ปัดยุงให้ท่าน จัดยาชุดให้ท่านได้กินตามที่ “หมอสั่ง” อย่างอื่นๆ อะไรที่ควรจัด อะไรก็ควรทำ แม้กระทั่งอาบน้ำ ล้างก้น เทกระโถนอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ควรทำอย่าได้รังเกียจ เพราะนั่นคือโอกาสของเราให้ทำความดี แสดงกตเวทีต่อท่านอย่างแท้จริง และจริงใจ…

ทั้งนี้ เพื่อให้ท่านหายเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้สบายต่อไป นี่เรียกว่าหน้าที่ที่ลูกพึงต้องปฏิบัติ ต้องทำต่อ… “พ่อแม่” ของเรา

เมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่หนีไม่พ้นความชราภาพลงไป การเดินเหินหยิบจับอะไรไม่ได้ ตามัวพร่า หูหนวก ปวดตัว ปวดหลัง ปวดเข่า เดินไม่สะดวก ถึงท่านต้องใช้ไม้เท้าค้ำยัน ชีวิต…ลูกเท่านั้น จะเป็น “ไม้เท้า” คอยค้ำยันดูแลเลี้ยงท่านให้ท่านอยู่ดีกินดี พักผ่อน นอนหลับ อาบน้ำ ขับถ่ายได้ดี… “เลี้ยงกายให้สบาย ดูแลจิตให้มีสุข” อย่างนี้แหละ ที่เราต้องดูแลท่านเมื่อยามชราป่วยไข้ โดยเป็น“ไม้เท้าชีวิต” จึงจะเรียกว่าเป็น “อภิชาตบุตร” ไม่ปล่อยให้ท่านอยู่บ้านเดียวดาย หรือไปฝากทิ้งไว้ที่ “ศูนย์คนชรา” ที่ต่างๆ ขอให้ทำปฏิบัติต่อพ่อแม่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้เต็มที่ เราจะภูมิใจดีใจ อย่างไม่รอเวลารอโอกาส ไม่มีอีกแล้ว หากเมื่อท่านตายไปแล้ว เราก็ทำบุญ ทำกุศลจิตไปให้ท่าน และดำรงตระกูลท่านไว้ไม่ให้เสื่อมสูญ นี่เป็นหน้าที่ของลูกที่พึงกระทำต่อพ่อแม่… จึงจะเรียกได้ว่าเป็น “ลูกกตัญญู”

พระที่อยู่บ้าน : พ่อแม่คือ พระพรหมของลูก ปู่ย่าตายายคือ พระพรหมของเรา เป็นพระที่เราควรต้องกราบไหว้ ควรบูชา ควรสักการะ อย่าไปเที่ยวไหว้พระหรือพระพรหมที่ไหน ซึ่งเราไม่รู้จักหน้าค่าตานอกบ้านเลย “พระของเรา” ของอยู่ในบ้านเรา อยู่ใกล้ตัวเรา เป็นผู้กำเนิดชีวิต เลี้ยงดูให้การศึกษา ค้ำชูเรามา ยามปกติยามเราเจ็บป่วย “พระ” องค์นี้ที่ดูแลเราตลอดมา เรามากราบไหว้พ่อแม่ เป็นการไหว้ที่ดีที่ถูกต้อง ปฏิบัติต่อพ่อแม่ ผลพวงที่สำคัญคือ ทำให้พ่อแม่สบายใจ ว่าลูกเราดี ลูกเราเจริญ ลูกเราก้าวหน้าอย่างนี้เขาเรียกว่า ทำถูกตามหลักพระพุทธศาสนา

ความสามัคคีในครอบครัว : เมื่อลูกทุกคนปฏิบัติต่อพ่อแม่ดีถูกต้อง ได้รับการศึกษามีงานทำ เป็นผู้ใหญ่เติบโตขึ้น ลูกๆ ทุกคนก็ต้องรักใคร่กัน เอ็นดูกัน สามัคคี เสียสละ มีสัจจะต่อกัน อยู่กันอย่างมีวินัย รู้หน้าที่ว่าใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง พี่ต้องดูแลน้องๆ คอยตักเตือนน้องๆ คอยบอกกล่าวชี้แนะชี้นำ น้องเองก็ต้องเป็นน้องที่ดี ต้องเคารพพี่ เชื่อฟังพี่ พี่สอนน้องอย่าไปถือดีว่าจะขนาดไหน จะมาสอนข้าได้อย่างไร คนที่มาเตือนเราเพราะเขารักเรา หรือดีต่อเรา บางคราวพี่อาจทำไม่ถูกต้องก็ฟังน้องชี้แจ้งบ้าง ให้เกียรติให้อภัยกัน พูดกันดีๆ อย่าขัดแย้งทะเลาะกัน มีการงานของบ้านที่พ่อแม่ฝากผีฝากไข้ให้ช่วยดำเนินกิจการใดก็ตามแต่ ก็ขอให้เต็มใจช่วยกันทำมาหากินด้วยความสามัคคี เสียสละ ให้ครอบครัวเราจรรโลงอยู่ต่อไปได้ด้วยความเจริญรุ่งเรือง พ่อแม่ก็จะมีความสุขสบายใจ เห็นว่าลูกๆ รักกันดี สามัคคีกัน นอนตายตาหลับ ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะลูกสามัคคี เสียสละกันเป็นอย่างดี อยู่ด้วยกันด้วยความรักเคารพ
ต่อกัน

พ่อ…พระในบ้าน พระธรรมเทศนาพิเศษ โดยท่านเจ้าคุณพระพรหมมังคลาจารย์ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ โดยสรุปเป็นการแสดงถึงความหมายของสิ่งที่ผู้เขียนระลึกถึง “เตี่ย” ของผู้เขียน และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่เกิดมาทุกคน เกิดมาต้องมี “พ่อ” หรือ “เตี่ย” จะได้เข้าใจลึกซึ้งในความหมายของคำว่า “พ่อ” ตลอดจนการตอบแทน การน้อมรำลึกและบูชาในพระคุณอันสูงสุดของ “พ่อ” ที่ท่านเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อเราผู้เป็นลูก…จักได้ตระหนักในพระคุณอันสูงสุดมหาศาลของ “พ่อ” ซึ่งมีในดวงใจของผู้ที่ได้ชื่อว่า “พ่อ” เป็นพ่อของลูกๆ ทุกคน ซึ่งลูกๆ ไม่สามารถที่จะทดแทนพระคุณอันสูงสุดของ “พ่อ” ผู้มีอุปการะแก่ลูกอย่างมากมาย จนมิอาจจะพรรณนาให้สิ้นสุดได้เลย แม้ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หรือล่วงลับไปแล้วก็ตาม

ดั่งเดียวกัน เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 น. ครอบครัวใหญ่ของประเทศไทย มีลูกๆ เป็นสมาชิกในครอบครัวไทยเราถึง 77 ล้านคน เราได้สูญเสีย “พ่อหลวง” พ่อของแผ่นดิน นับเป็นการจากไปสุดที่จะพรรณนา นำความโศกเศร้า อาดูร ด้วยคราบน้ำตากันถ้วนหน้า แม้สหประชาชาติ (UN) ได้แสดงความเสียใจในการประชุมสมัยสามัญตามที่เป็นข่าว และยกย่อง “พ่อหลวง” ของเราเป็น… “พระมหากษัตริย์ของโลก” อีกด้วย

พระมหากรุณาธิคุณอันเป็นอเนกต่อพสกนิกรทั้งประเทศ จะติดตราตรึงในหัวใจคนไทยตราบนิรันดร์ ในฐานะคนไทย หากเราจะเป็น “ลูกที่ดี” เป็น “คนดี” ต้องช่วยกันร่วมกัน “น้อมนำพระบรมราโชวาท” รู้รัก สามัคคี มาปฏิบัติให้เกิดความปรองดองกัน ดูแลประเทศไทยให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ด้วยการ “เปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นพลัง” เพื่อสร้างสรรค์ชาติต่อไปนะครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image