เหตุปัจจัยอะไรทำให้ “สังคม” เกิดความคาดหวังต่อ “ปรองดอง”เป็นอย่างสูง
1 เพราะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
การมาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มิได้เป็นการมาในลักษณะแห่งการอาสา
หากเป็นการมาตาม “คำสั่ง”
เป็นคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในฐานะหัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี
ตรงนี้แหละคือ “ความหมาย”
สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมองผ่าน “คสช.” ไม่ว่าจะมองผ่าน “รัฐบาล” คราวนี้เอาจริง
เมื่อเอาจริงจึงต้องมอบให้เป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ขณะเดียวกัน 1 ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุวรรณ สอดรับกับ”สภาพการณ์”ในทางสังคม
นั่นก็คือ สถานการณ์ที่เรียกได้ว่า “สุกงอม”
ไม่ว่าจะสดับตรับฟังจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะสดับตรับฟังจาก พรรคประชาธิปัตย์
ด้านหลัก คือ เห็นชอบ
พรรคเพื่อไทยซึ่งอยู่ในสถานะ “ถูกกระทำ” อย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐประหารเดือนกันยายน 2549 กระทั่งรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ก็ออกมา “ขานรับ”
ทั้งมิได้เป็นการขานรับอย่างธรรมดา หากแต่เป็นการขานรับด้วยความมั่นใจใน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ถึงกับยกย่องให้เป็น “พี่ใหญ่”
พรรคประชาธิปัตย์แม้ว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับพรรคเพื่อไทย แม้จะยังมากด้วยเงื่อนแง่ในเบื้องต้น
แต่ในที่สุดก็ยินยอมและพร้อมใจ
จากพรรคเพื่อไทย จากพรรคประชาธิปัตย์ จึงเท่ากับเป็นดั่งตัวแทนของพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
ทั้งหมดล้วนคือ”รูปธรรม”แห่งภาวะ”สุกงอม”
ความสุกงอมในที่นี้มาจากความเห็น “ร่วม”อย่างเป็นเอกภาพว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติความขัดแย้ง
ความขัดแย้งจาก “รัฐประหาร”
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนกันยายน 2549 และซ้ำเติมหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีกในเดือนพฤษภาคม 2557
“รัฐประหาร” มิใช่วิธีการ”แก้ไขปัญหา”
ตรงกันข้าม “รัฐประหาร” คือตัวสร้างและขยายปัญหาให้บาน ปลาย และเหมือนกับจะไม่มีวันสิ้นสุด
ไม่รู้ว่า “ปลายทาง” อยู่ตรงไหน
เมื่อสถานการณ์ “สุกงอม” ระดับนี้จึงอยู่ที่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะหาทางจบอย่างไร