อภินิหารแห่งหมุด กระตุก เส้นขน สะท้าน สรรพางค์

 

ไม่น่าเชื่อว่าหมุดเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว

ที่ปกติจะมีความหมายก็ต่อเมื่อวาระ 24 มิถุนายน หรือการครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองเวียนมาถึง

จะกลายเป็นจุดสนใจ เป็นหัวข้อถกเถียง เป็นที่มาของการเคลื่อนไหว

Advertisement

เป็นการเปิดฉากการปะทะกันทางความคิดและอุดมการณ์รอบใหม่

และเป็นปัญหาที่รัฐบาล กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

Advertisement

พิจารณาจากปฏิกิริยาของผู้เกี่ยวข้องแต่ละคนก็ชัดเจน

จากที่เคยรอบรู้กันทุกเรื่อง

ตอบข้อถามทุกอย่างได้อย่างเสียงดังฟังชัด

ก็เปลี่ยนไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.

กล่าวถึงกรณีหมุดคณะราษฎร หรือหมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งถูกขุดหายไป และแทนด้วยหมุดใหม่ที่มีข้อความใหม่ในจุดเดิมว่า

ไม่อยากให้เป็นประเด็น ได้มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง และตำรวจติดตามสืบสวนแล้ว

“เราเป็นประชาธิปไตยมากว่า 80 ปีแล้ว ผมก็ยืนยันว่าผมเป็นประชาธิปไตย

ดังนั้นอยู่ที่ใจของพวกเราทุกคนว่าจะเดินหน้าประเทศกันอย่างไรมากกว่า”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า

ตอบอะไรไม่ได้เพราะไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่เห็นว่าอย่าไปทำอะไรให้เกิดความวุ่นวาย

เมื่อถามว่ารัฐบาลจัดการอะไรได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า

“ไม่รู้ เพราะรัฐบาลเองก็ไม่รู้

คิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่

ไม่เกี่ยวกับเรื่องอดอยากปากแห้ง ไม่มีน้ำ”

ไปโน่นเลย

 

แต่ที่ “เรียกแขก” ได้มากที่สุด

เห็นจะเป็น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ที่ระบุว่า

กรณีนี้จะถือเป็นคดีลักทรัพย์ ก็ต่อเมื่อมีผู้เสียหายเป็นเจ้าของทรัพย์ มีหลักฐานว่าได้รับทรัพย์สินนั้นเป็นมรดก

หากไม่มีหลักฐานก็อ้างเป็นมรดกหรือเป็นเจ้าของทรัพย์ไม่ได้

ผลของคำให้สัมภาษณ์ ทำให้ทั้ง “กูรู” และ “กูรู้” กฎหมาย

ออกมาตอบโต้ ชี้แจง ถึงขั้น “สอนมวย” ว่าอย่างไร

หาดูได้ตามเฟซบุ๊กและไลน์ที่ปลิวว่อนในขณะนี้

ไม่แต่ตำรวจเท่านั้นดอกที่เบี่ยงบ่าย

กรุงเทพมหานครและเขตดุสิต ผู้รับผิดชอบพื้นที่ ก็ยังไม่มีเงื่อนงำ

ว่าหมุดหายไปไหน

กรมศิลปากรยิ่งไปไกลถึงขนาดออกแถลงการณ์ชี้แจง

ว่าหมุดนี้มิใช่โบราณวัตถุ มิใช่หลักฐานประวัติศาสตร์

แปลว่าจะอยู่ก็ได้ หายก็ได้

 

แต่ที่ยิ่งทำให้สับสนมากขึ้นไป

คือปฏิบัติการสารพัดรูปแบบของเจ้าหน้าที่

อาทิ การจัดตำรวจเฝ้ารักษาการณ์ “หมุดหน้าใส” ที่เพิ่งฝังใหม่

แต่ห้ามประชาชนที่แวะเวียนไปดูถ่ายภาพ

ใครถ่ายรูปหมุดดังกล่าวจะถูกสั่งให้ลบทิ้งทันที

หากฝ่าฝืนจะถูกควบคุมตัว

มีการนำรั้วมาล้อมหมุดไว้ มิให้คนเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ชิด

หรือเมื่อ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การมูลนิธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

มาที่ศูนย์บริการประชาชนฯ ยื่นข้อเรียกร้องถึงนายกฯ ให้สืบสวนหาตัวการและผู้ที่ปรับเปลี่ยนหมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ

ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาเชิญขึ้นรถตู้ไปที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11)

พูดคุยปรับความเข้าใจกันถึง 12 ชั่วโมง

ก่อนปล่อยตัวกลับบ้านยามดึก

 

นายชำนาญ จันทร์เรือง นักกฎหมายมหาชน ผู้ริเริ่มล่ารายชื่อ “เอาผิดผู้ทำลายและต้องคืนหมุดคณะราษฎร” ระบุว่า

เบื้องต้นคนที่มาร่วมลงชื่อสนับสนุนพบว่ามีความหลากหลายจากกลุ่มคนทุกสี

ที่แปลกคือ นักการเมืองกลับไม่ค่อยมีมาลงชื่อ

หมุดคณะราษฎรที่หายไป มีข้อดีคือทำให้คนจำนวนมากหันมาสนใจ

คำค้นเรื่องนี้ติดอันดับต้นๆ บนเว็บไซต์สืบค้นข้อมูล สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้กว้างขวาง

แต่ข้อห่วงกังวลคือ มันสะท้อนชัดเจนว่าฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย ไม่มีท่าทีประนีประนอม

อยู่เลย สุ่มเสี่ยงไปสู่ความรุนแรงในสังคมได้

“แถมยังทำให้กระบวนการปรองดองของรัฐบาลยุ่งยากยิ่งขึ้น”

จึงนับเป็น “อภินิหารแห่งหมุด” โดยแท้

ถอนไปชิ้นเดียว เหมือนกระตุกขนหนึ่งเส้น

เต้นระรัวจนเนื้อตัวสั่น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image