เรื่องราวของ บาซูกิ จาฮาจา ปูรนามา ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา กินพื้นที่ข่าวไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อศาลมีคำตัดสินให้ ปูรนามา มีความผิดฐาน “หมิ่นศาสนา” ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี
ปูรนามา อดีตรองผู้ว่ากรุงจาการ์ตา ได้รับเสียงชื่นชมและความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ต่อจากนายโจโก วิโดโด ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อปี 2557
ระหว่างอยู่ในตำแหน่งที่ถูกมองว่าเป็นเส้นทางไปสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ “ปูรนามา” หรือที่รู้จักกันในนาม “อาฮก” สร้างคะแนนนิยมจากบุคลิกตรงไปตรงมา โผงผาง พร้อมด้วยทัศนคติที่พร้อมทำงาน
ปูรนามา เกิดในครอบครัวร่ำรวยบนเกาะทางตะวันตกของอินโดนีเซีย จบการศึกษาด้านธรณีวิทยาจาก มหาวิทยาลับจาการ์ตา ก่อนจะกลับมาทำธุรกิจที่บ้านเกิด
ปูรนามา ผู้เป็นชาวคริสต์ ได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อที่ชวนให้ใช้ความสามารถให้เป็นประโยชน์เพื่อผู้ด้อยโอกาส ส่งผลให้ ปูรนามา เริ่มต้นเส้นทางทางการเมืองเมื่อปี 2547 ก่อนจะได้รับเลือกเข้าสู่สภาเมื่อปี 2552
ผลงานสำคัญของ “อาฮก” นักการเมืองวัย 50 ปี คือการแก้ปัญหาจราจร ขจัดคอร์รัปชั่น มีนโยบายออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับข้าราชการที่ทำงานไม่คุ้มกับภาษีประชาชน
หลังเข้าสู่ตำแหน่ง ถนนในเมืองหลวงที่มีประชากร 10 ล้านคนแห่งนี้ได้รับการซ่อมแซม ทางเท้าได้รับการปรับปรุง สวนสาธารณะเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น และมีการทำความสะอาดแม่น้ำลำคลองอย่างจริงจัง
แม้บางนโยบาย โดยเฉพาะการไล่ที่ชุมชนแออัด รวมถึงชุมชนริมน้ำ จะก่อให้เกิดความไม่พอใจ แต่ชาวจาการ์ตาส่วนใหญ่ระบุว่าชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปหลังการเข้ามาบริหารงานของ “อาฮก”
อย่างไรก็ตามอาฮก ในฐานะผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาที่ไม่ใช่มุสลิมคนแรกในรอบครึ่งศตวรรษ และเป็นชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ กลับต้องเจอกับอุปสรรค เมื่อมักจะตกเป็นเป้าของคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อ ตำแหน่งของอาฮก ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตั้งแต่แรก
บุคลิกโผงผาง ตรงไปตรงมา กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อ อาฮก ระบุ ในช่วงต้นของการหาเสียงเพื่อลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา กล่าวหาคู่แข่งว่าใช้ ถ้อยความใน “คัมภีร์อัลกุรอ่าน” หลอกล่อให้ผู้สนับสนุนลงคะแนน
คำพูดดังกล่าวกลายเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มมุสลิมเคร่งศาสนาที่ต่อต้านผู้นำเมืองหลวงที่ไม่ใช่มุสลิม โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลกแห่งนี้ รวมไปถึงเข้าทางคู่แข่งทางการเมืองที่ต้องการเขี่ยอาฮก ออกจากตำแหน่งและสร้างความอับอายให้กับ “วิโดโด”
แม้ อาฮก จะออกมาขอโทษและชี้แจง ทว่าก็ไม่สามารถหยุดกระแสความขุ่นเคืองของกลุ่มมุสลิมอนุรักษนิยมที่ออกมาเดินขบวนขับไล่ โดยได้รับการสนับสนุนจากคู่แข่งทางการเมือง
ท่ามกลางกระแสกดดันของสังคม หน่วยงานของรัฐจัดให้มีการไต่สวนในคดีดังกล่าวขึ้น ส่งผลให้คะแนนนิยมของอาฮก ตกต่ำลง จนส่งผลให้การเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อาฮก ต้องพ่ายแพ้ต่อผู้ท้าชิงชาวมุสลิมไป
การตัดสินในคดีเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม สร้างความตกตะลึงเนื่องจากเป็นการตัดสินที่สวนทางกับข้อแนะนำของ “อัยการ” ที่เสนอให้ ลงโทษด้วยการ “ภาคทัณฑ์” เท่านั้น