รมต.สำนักนายกฯ โต้การลงทุนไทยไม่กระเตื้อง ชี้ยุทธศาสตร์ เน้นโครงการคุณภาพมากกว่าเงินลงทุน

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2560 นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มีบางท่านให้ข่าวว่า การลงทุนไทยไม่กระเตื้องและหดตัวต่อเนื่องนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากหลังจากที่บีโอไอได้ ประกาศใช้ “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี (พ.ศ. 2558 – 2564)” ได้หันมาให้ความสำคัญกับ โครงการลงทุนที่มีคุณภาพ มากกว่าการเน้นเม็ดเงินลงทุนเหมือนในอดีต ดังจะเห็นได้ว่ามาตรการต่างๆ ของ บีโอไอในปัจจุบันมุ่งเน้นผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การ ลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือกิจการที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งกิจการเหล่านี้ มักจะมีมูลค่าการลงทุนต่อโครงการไม่สูงมาก อีกทั้งในระยะหลังจะมีโครงการลงทุนของกลุ่ม Startup ใน ธุรกิจดิจิทัลขอรับการส่งเสริมเป็นจานวนมาก ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนไม่สูง แต่สามารถสร้างนวัตกรรมและสร้าง มูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เริ่มใช้นโยบายใหม่เมื่อปี 2558 จนถึงเดือนมีนาคม 2560 มี กิจการวิจัยและพัฒนา ยื่นขอรับการส่งเสริมจานวน 43 โครงการ เงินลงทุนรวม 6,400 ล้านบาท และกิจการ พัฒนาซอฟต์แวร์ ยื่นขอรับการส่งเสริมมากถึง 455 โครงการ เงินลงทุนรวม 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ โดย ธรรมชาติของการลงทุนขนาดใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ปิโตรเคมี รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ จะมีลักษณะ เป็น Cycle มิได้มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้นทุกปี โดยเมื่อลงทุนไปแล้ว จะต้องมีการใช้กาลังการผลิตให้มากกว่า ร้อยละ 60-70 จึงจะมีการขยายการลงทุนใหม่เพิ่มเติม

สาหรับตัวเลขการลงทุนจริงของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ลดลงในช่วง 1-2 ปีท่ีผ่าน มานั้น นายสุวิทย์ กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากในช่วงปี 2556-2557 มีการลงทุนจริงของโครงการขนาดใหญ่ใน กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิจการโรงไฟฟ้า และขนส่งทางอากาศ รวมประมาณ 6 แสน ล้านบาท ขณะที่กลุ่มที่ลงทุนจริงในปี 2558-2560 ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กกว่า แต่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม เป้าหมายที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าเพิ่มสูง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาสถิติในขั้นการอนุมัติให้การส่งเสริมและ การออกบัตรส่งเสริมของบีโอไอแล้ว จะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 มีมูลค่าเงินลงทุนที่อนุมัติและ ออกบัตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 120 และร้อยละ 85 ตามลาดับ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะมีการทยอยลงทุนจริงใน ระยะเวลาอันใกล้
ส่วนกรณีที่มีงานวิจัยของสถาบันวิจัยป๋วย เสนอแนะว่ารัฐบาลไม่มีความจาเป็นที่จะต้องขยายสิทธิ ประโยชน์แก่นักลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านภาษีในการดึง FDI อีก แต่ควรปรับเงื่อนไขการ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อความคุ้มค่า เพราะยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนมากกว่า คือความ ยากง่ายในการทาธุรกิจนั้น นายสุวิทย์ ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยยังจาเป็นต้องให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศ ต้องการและไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามกลไกตลาด ทั้งนี้เนื่องจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาคยังใช้สิทธิประโยชน์ ทางภาษีเป็นเครื่องมือแย่งชิงการลงทุนที่มีคุณค่า ถึงแม้ว่าจะมีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในระดับต่าแล้วก็ตาม ทั้งนี้ บีโอไอได้ใช้เครื่องมือสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยคานึงถึงผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ และไม่ได้ให้การ
ส่งเสริมในทุกประเภทธุรกิจ ระดับของการให้สิทธิประโยชน์ของแต่ละประเภทกิจการก็จะแตกต่างกันตาม คุณค่าของประเภทกิจการนั้นๆ โดยจะมีเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและ นวัตกรรม หรืออุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในวงกว้างเท่านั้น จึงจะอยู่ในข่าย ได้รับสิทธิประโยชน์ในระดับสูง

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เน้นย้ำว่ารัฐบาลและบีโอไอ ได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับการเร่งแก้ไข ปัญหาและอุปสรรคด้านการลงทุนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business in Thailand) เช่น การออก พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 เพื่อให้มีกฎหมายกลางที่จะกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตที่ชัดเจนและไม่ เป็นอุปสรรคต่อประชาชน การออกคาสั่ง คสช. เมื่อเดือนเมษายน 2560 เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายบางฉบับ เพิ่มเติม เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายประกันสังคม กฎหมาย ล้มละลาย เพื่อแก้ไขขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมายเหล่านี้ให้เอื้อต่อการประกอบธุรกิจมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการลด การขอเอกสารซ้าซ้อน อีกทั้งขณะนี้บีโอไอได้หารือกับภาคเอกชน และได้นาเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและ อานวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ปัญหาด้านวีซ่าและ ใบอนุญาตทางาน ปัญหาเรื่องเขตปลอดอากร เป็นต้น

นายสุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความพยายามของรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้าน การลงทุนต่างๆ รวมทั้งความพยายามแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นและผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถ ในการแข่งขันที่ดีขึ้น ประกอบกับขณะนี้ พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุนฉบับแก้ไขและ พ.ร.บ.การเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศสาหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้มีผลใช้บังคับแล้ว อีกทั้งรัฐบาลกาลัง เร่งรัดนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด สิ่งเหล่านี้จะ ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่มีคุณภาพในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในอนาคต

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image