คล้ายกับว่า “ความมั่นคง” จะเป็น “จุดแข็ง” อย่างยิ่งยวดของคสช. และของรัฐบาล
แต่พลันที่เกิดกรณี”คาร์บอมบ์” ที่ “ปัตตานี”
สายตาที่ทอดมองไปยัง 1 รัฐบาล อันมีหลังพิงอยู่กับ 1 คสช.ก็เริ่มมีความไม่แน่ใจ
ไม่แน่ใจเหมือนกับเห็น 6 ทหารพรานถูกปลิดชีวิต
เป็นการปลิดชีวิตขณะนั่งรถกระบะ”หุ้มเหล็ก”อย่างเป็นกรณีพิเศษ
เป็นการปลิดชีวิตแล้ว”ชิงปืน”
ไม่แน่ใจเหมือนกับเป็นข่าวการวางระเบิด”เสาไฟฟ้า”มากกว่า 40 จุดพร้อมๆกัน
เท่ากับส่ง”สัญญาณ”ตรงไปยัง “คสช.”
ก่อนหน้านั้นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจอยู่ในมือของ”นักการเมือง” โดยมี “ทหาร”เป็นลูกมือ
สร้างความหงุดหงิดให้กับ”ทหาร”อย่างยิ่ง
กระนั้น นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา ถือว่าปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในมืออันแข็งแกร่งของ “ทหาร”
ไม่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร
ล้วนจับงาน”ภาคใต้”มาด้วยตนเอง
แม้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามสอดแทรกเข้าไปเพื่อแสดงบทบาท แต่ก็อยู่ในฐานะเป็น “มือรอง”
“ยุทธศาสตร์” ล้วนมาจาก”ทหาร”
ความแข็งแกร่งจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ยิ่งเสริมให้มั่นคงมากยิ่งขึ้นจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
อยู่ในความรับผิดของฝ่าย”ความมั่นคง”
กัมปนาทแห่งระเบิดที่เกิดขึ้นจึงเท่ากับเป็นความท้าทายเป็นอย่างสูง ไม่ว่าต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
จะอธิบายอย่างไรต่อสถานการณ์และความปั่นป่วนอันเกิดขึ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อะไรคือ”ผลงาน” อะไรคือความสำเร็จ