เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นางบุญลักษณ์ แซ่ลิ้ม อายุ 39 ปี พร้อมด้วยกลุ่มผู้เสียหายกว่า 10 คน เข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.นันท์นภัส หรืออัยยรัตน์ ธนโรจนไมตรีกุล หรือพันธุ์เพ็ชร อายุ 31 ปี เท้าแชร์ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ภายหลังหลอกลวงให้เล่นแชร์ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่ม “แชร์บ้าน เค แอนด์ วาย” ซึ่งมีหลายวง แบ่งเป็นวงแชร์ที่เปิดให้ร่วมนำเงินมาเล่นแชร์ตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท และมีวงแชร์แบบออมเงินแลกกับทองคำ แต่ภายหลังกลับไม่ได้รับเงินดอกเบี้ยที่นำไปเล่นแชร์ดังกล่าวจนถึงไม่ได้เงินที่นำไปเล่นแชร์คืนมา รวมมูลค่าเสียหายกว่า 40 ล้านบาท โดยนำหลักฐานการโอนเงิน และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้ประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
นางบุญลักษณ์กล่าวว่า รู้จักกับวงแชร์ที่เล่นผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่มดังกล่าวเมื่อประมาณปี 2559 ผ่านเพื่อนสนิทที่เล่นแชร์อยู่ก่อน แล้วชักชวนโดยอ้างว่าได้รับเงินดอกเบี้ยคืนจริง ซึ่งมีหลายวงให้เลือกเล่น มีการจ่ายดอกเบี้ยรายวัน จากสมาชิกที่เข้ามาในกลุ่มแอพพลิเคชั่นไลน์คนใหม่ที่เป็นคนเปียเงินไป ช่วงแรกตนเล่นเพียงวงเดียว เมื่อได้เงินจริง จึงเริ่มนำเงินมาเล่นแชร์อีกหลายวง ก่อนหน้านี้ก็ได้รับการโอนเงินดอกเบี้ยคืนกลับมา กระทั่งประมาณวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ก็เริ่มไม่ได้รับเงิน จึงพยายามติดตามทวงถามกับ น.ส.นันท์นภัส เท้าแชร์รายนี้ ซึ่ง น.ส.นันท์นภัสอ้างว่ากำลังแก้ปัญหาบ้าง หรือจะพยายามบ่ายเบี่ยงต่างๆ นานา จนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ก็ไม่สามารถติดต่อได้ และ น.ส.นันท์นภัส ก็ออกจากกลุ่มแอพพลิเคชั่นไลน์ไปเลย โดยในส่วนของตนเกิดความเสียหายแล้วกว่า 1.22 ล้านบาท
ผู้เสียหายรายนี้กล่าวต่อว่า ได้ทราบภายหลังว่ามีผู้เสียหายจำนวนมากในหลายพื้นที่ทั่วประเทศที่ถูก น.ส.นันท์นภัส หลอกลวง แต่ส่วนใหญ่เชื่อถือและกล้านำเงินมาเล่นแชร์ด้วย เพราะเห็นว่ามีผู้ที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมเล่นแชร์ดังกล่าวจึงเกิดความน่าเชื่อถือ โดยขณะนี้น่าจะมีผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 100 คน
ด้าน พ.ต.อ.ชาคริตกล่าวว่า เบื้องต้นได้รับเรื่อง โดยมอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1-6 บก.ป. สอบปากคำผู้เสียหายไว้ก่อน อย่างไรก็ดี จากการสอบถามทราบว่ากรณีที่เกิดขึ้นมีการแจ้งความที่ บก.ปอศ.ไว้แล้ว หลังจากนี้ จะพิจารณาส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวน บก.ปอศ.ดำเนินการต่อไป โดยพฤติการณ์ทางคดีน่าจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน