เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศพสกนิกรจากทั่วประเทศทุกภูมิภาค ยังคงทยอยเดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยหลายคนยังคงมีน้ำตาและรอยยิ้มแห่งความดีใจที่ได้มีโอกาสเข้ามากราบสักการะพระบรมศพสัก และต่างเข้าชมนิทรรศการเย็นศิระ เพราะพระบริบาล ที่ตั้งอยู่กลางท้องสนามหลวงด้วย
นายปอลีออง โคเล่ อายุ 15 ปี นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวฝรั่งเศส ที่มาศึกษาอยู่ที่โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา จ.สกลนคร ได้ 10 เดือนแล้ว จึงได้เข้ามาสักการะพระบรมศพพระบาท ก่อนเดินทางกลับประเทศพร้อมคุณครู กล่าวว่า เดินทางมาศึกษาแลกเปลี่ยนและได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย 2 รัชกาล ถือเป็นความพิเศษ ได้ผ่านช่วงเวลาที่คนไทยโศกเศร้า แตกต่างจากที่ประเทศฝรั่งเศส ที่ผ่านมาได้เดินทางและศึกษาวัฒนธรรมไทยต่างๆ โดยเฉพาะในจังหวัดสกลนคร ที่มีพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ซึ่งที่โรงเรียนได้ตั้งชื่อภาษาไทยให้ว่าภูพาน ได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ต่างๆของธรรมชาติ ทั้งน้ำ ป่า รวมถึงได้เห็นโครงการต่างๆที่ในหลวงร.9 ทรงทำเพื่อคนไทยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ก็ประทับใจ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาสักการะพระบรมศพ ก็ได้เห็นคนไทยเข้าคิวต่อแถวกันมากมาย เป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างจากที่ฝรั่งเศส ซึ่งจะนำเรื่องนี้ไปบอกเล่าให้เพื่อนๆที่ฝรั่งเศสได้ฟังต่อไป
นายยิ่งศักดิ์ สุโกศลวิสุทธิ อายุ 60 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวภายหลังที่ได้เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระบรมศพว่า มาสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่เมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมาได้มาต่อแถวเพื่อเข้ากราบสักการะพระบรมศพโดยใช้เวลารอนานประมาณ 6 ชั่วโมง แต่ก็ถือว่าไม่นานมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ในหลวง ร.9 ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้พสกนิกรของพระองค์อยู่ดีกินดี และทุกวันนี้ก็ได้ยึดในหลวง ร.9 เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพ ทุกครั้งที่ได้มาสักการะพระบรมศพก็ปลาบปลื้มเต็มไปด้วยความภูมิใจทุกครั้ง ทุกวันนี้พยายามดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงเพื่อที่จะได้มีเรี่ยวแรงดูแลครอบครัว และผู้อื่นในสังคม ตามรอยพระราชปณิธานในหลวง ร.9 และด้วยเป็นพ่อค้าจึงได้ยึดหลักความซื่อสัตย์มาเป็นหลักในการค้าด้วยความเชื่อที่ว่า ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน ถ้าเรามีความจริงใจกับลูกค้าไม่ขายของเกินราคา เราก็จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าตลอดไป
นางสาวบุญภพ ทวะกาญจน์ อายุ 46 ปี เดินทางมาพร้อมกับพี่สาว นางอาภรณ์ ทวะกาญจน์ อายุ 57 ปี อาชีพเกษตรกร จากอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า เดินทางมาเป็นครั้งที่สอง ขณะที่พี่สาวเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ซึ่งความรู้สึกครั้งนี้และครั้งที่แล้วไม่ต่างกันมากนัก คือยังคงเสียใจและน้ำตาซึมด้วยความคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะที่ผ่านมาพระองค์ทรงงานหนักมากเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี
“จำได้ว่าเมื่อตอนอายุ 9 ขวบเคยไปเฝ้าฯ รับเสด็จพระองค์ในโอกาสที่เสด็จฯ ไปทรงเปิดค่ายรัตนพล กองพลพัฒนาที่ 4 อ.คลองหอยโข่ง ครั้งนั้นฝ่าฝูงชนไปอยู่ด้านหน้าและได้เห็นพระองค์ชัดเจนมาก ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่มีโอกาสเห็นพระองค์ แต่ก็ประทับใจในสิ่งที่พระองค์ทรงทำมาตลอด อย่างที่จังหวัดสงขลาเมื่อก่อนชาวบ้านทำนา แต่มีบางช่วงขาดแคลนน้ำ คนจึงหันมาปลูกยางกันมาก จำได้ว่าพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ชาวภาคใต้อย่าขุดนาแล้วหันมาปลูกยางกันหมด ให้เหลือที่นาไว้บ้าง…” ยังจำข้อความนี้ได้แม่นยำ หลังจากนั้นจึงทรงริเริ่มโครงการพัฒนาลุ่มน้ำคลองจำไหร และคลองหลา ทำให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ในการเกษตรตลอดทั้งปี ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้นอกจากปลูกยางแล้วจึงทำนาปลูกข้าวมาตลอด โดยปลูกพันธุ์ดอกพยอม ซึ่งเป็นพันธุ์อนุรักษ์ไว้กินเอง และปลูกข้าวเหนียวดำไว้จำหน่ายด้วย หากไม่มีพระราชดำรัสของพระองค์ในวันนั้น คนภาคใต้คงจะหันไปปลูกยางกันหมด นอกจากนี้ยังปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองเป็นการประหยัดทั้งยังใช้ชีวิตอย่างพอเพียงตามที่พระองค์สอนไว้ด้วย” เกษตรกรจากภาคใต้กล่าว
สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.00 น.ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 25,127 คน รวม 193 วัน มี 7,034,868 คน
