เหยื่อดอกโหด แฉเล่ห์เหลี่ยมนายทุนเงินกู้ ซ้ำเติมคนจนหมายยึดที่ดิน

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นางนวลคำ นันนวน อายุ 48 ปี เหยื่อนายทุนดอกโหด ถึงเรื่องราวชีวิตหลังจากได้กู้เงินนอกระบบ จากนายทุนในจังหวัดนครพนม รายหนึ่ง นางนวลคำ อาศัยอยู่กับ นายฉลอง นันนวน อายุ 49 ปี สามีที่ป่วยเป็นผู้พิการไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

นางนวลคำ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ สามี ได้ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ขณะทำงานอยู่กรุงเทพฯแล้วถูก นำตัวส่งโรงพยาบาลจุฬาฯ หมอปั๊มหัวใจกลับคืนมาได้ แต่เนื่องจาก สมอง ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานเกินไปทำให้เซลล์สมองเสื่อมจนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปได้ หลังอาการทุเลาแพทย์ให้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน จึเดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดนครพนม จากที่เคยมีฐานะระดับปานกลาง ต้องนำข้าวของที่มีค่า อย่างเช่นทองคำรูปพรรณกว่า 25 บาท ถูกนำออกไปขาย เพื่อเอาเงินมารักษาสามี จนหมดสิ้น แต่ยังไม่พอต้องขอหยิบยืมจากญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านใกล้เคียง เมื่อถึงวันที่หมอนัดตรวจแต่ไม่มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่าย จนหนี้สินพอกพูน ก็เลยตัดสินใจ นำเอาที่นา เนื้อที่กว่า 30 ไร่ พร้อมกับยืมบ้านพร้อมโฉนดที่ดินของพี่สาว เพื่อนำใบจำนองกับนายทุน เพื่อเอาเงินมารักษาสามี

นางนวลคำ กล่าวอีกว่า พี่สาว คือ นางบุญอุ้ม วงศ์ยา ยินยอมให้ตนนำโฉนดที่ดินไปขอกู้เงินจากนายทุนรายนี้ ซึ่งนายทุนตีราคาให้เป็นเงิน 170,000 บาท แต่นายทุนอ้างว่าหลักทรัพย์ยังไม่พอต้องหามาเพิ่มอีก ตนจึงตัดสินใจเอาที่นาเนื้อที่กว่า 30 ไร่อีกแปลงหนึ่ง มาเพิ่มเข้าไป โดยนายทุนตกลงให้เงินมาหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นบาท แต่ต้องทำสัญญาจดจำนองที่ดินสองแปลง เป็นเงิน 350,000 บาท ซึ่งตนก็ได้ทักท้วงไปแต่ไม่เป็นผล ทั้งนี้นายทุนอ้างว่าจดจำนองกันไว้เฉยๆ คนรวยเขาไม่โกงหรอก ขอให้ถึงเวลามีเงินมาไถ่ถอนก็พอ หากไม่ตกลงก็ไม่ต้องเอาเงิน ตนจำใจต้องทำตามที่นายทุนบอก แต่หลังจากจดจำนองที่สำนักงานที่ดินเสร็จแล้วมารับเงินที่สำนักงานของนายทุนแถวถนนอภิบาลบัญชา ในตัวเมืองนครพนม กลับได้รับเงินจริงๆเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท

ทั้งนี้นายทุนอ้างว่า 20,000 บาท ที่เหลือถูกหักจ่ายเป็นดอกเบี้ยล่วงหน้า รวมถึงค่าธรรมเนียมจดจำนองและค่านายหน้าของนายหน้าที่พาไปทำจดจำนอง ตนก็จำใจรับไป หลังจากนั้นทุกๆเดือนจะต้องนำดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน คิดเป็นเงิน เดือนละ 5,100 บาทไปจ่ายให้กับนายทุน โดยหากจ่ายล่าช้า ล่วงเลยไปประมาณสองสามวันจะกลายเป็นร้อยละ 5 บาททันที ส่งดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 2 ปี ก็ต้องหยุดส่ง เนื่องจากตนมีภาระเยอะลูกต้องเรียนอีก 2 คน ไหนจะค่ายารักษาสามีอีก จึงไม่มีเงินส่งดอกเบี้ย แต่กลัวว่าที่ดินบ้านของพี่สาวและที่นา จะถูกนายทุนยึดขายทอดตลาด จึงดิ้นรนขอกู้จากเงินกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) ก็ได้รับอนุมัติมา ตอนแรกคิดว่าจะได้ชำระหนี้เพียงเท่าที่รับเงินไปจริง แต่กลับกลายเป็นว่า นายทุนกลับเรียกให้ตนต้องจ่ายถึง สี่แสนสองหมื่นบาทในตอน แรกหลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาท ซึ่ง
ตนก็พยายามขอร้องและขอไกล่เกลี่ยให้ลดหย่อนให้แต่ไม่เป็นผล ครั้งสุดท้ายที่ไปติดต่อกับนายทุนก็ถูกเรียกเงินไถ่ถอนสูงถึง850,000 บาท

Advertisement

ตนเห็นว่าขืนปล่อยไปจะต้องเสียที่อยู่และที่ทำกินอย่างแน่นอน จึงได้เดินทางเข้าร้องเรียน ขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนม ใช้เวลาไกล่เกลี่ย 2 ครั้ง แต่ไม่มีผลอะไร หลังจากนั้นก็ไปร้องกับ สำนักอัยการจังหวัด ก็ไม่เป็นผล ช่วงนั้นมีเพื่อนบ้านแนะนำให้ไปขอให้ทหารช่วยตนก็ไปแต่ก็ไม่มีอะไร คืบหน้า

หลังจากนั้นในวันที่ 21 มค.2558 ตนได้เดินทางไปร้องทุกข์พร้อมกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนกับนายทุนคนนี้อีก 15 คน ต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ โดยมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องไว้แล้วบอกพวกตนให้กลับไปรอที่บ้าน ส่วนกลางจะส่งเรื่องไปให้ทางจังหวัดดำเนินการให้

ต่อมาทางจังหวัดคงถูกส่วนกลางกำชับมาก็เรียกพวกตนและนายทุนไปไกล่เกลี่ยอีกครั้ง มีลูกหนี้นายทุนรายเดียวกันไปขอความช่วยเหลือถึง 16 ราย แต่สามารถไกล่เกลี่ยได้เพียงรายของตนเพียงรายเดียว ส่วนรายอื่นๆ ต้องต่อสู้กันเองตามยถากรรม โดยนายทุนยอมลดหนี้ให้ตน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นขอร้อง เหลือเพียง 170,000 บาท ตนจึงรีบไปขอกู้เงินจากกองทุน อชก. ไปชำระให้กับนายทุนแล้วไถ่ถอนที่ดินทั้งสองแปลงออกมาได้เป็นผลสำเร็จ โดยทำการผ่อนส่งกับกองทุน อชก. แทน ส่วนสาเหตุที่ต้องลุกขึ้นสู้เพราะกลัวว่าที่ทำกินที่เป็นที่นากว่า 30 ไร่จะถูกยึด ลูกหลานจะไม่มีที่ทำกิน ซึ่งภายหลังไถ่ถอนที่ออกมาแล้วก็ยังเหลือหนี้สินที่ไปหยิบยืมญาติ ๆ และเพื่อนบ้านมาใช้จ่าย ระหว่างต่อสู้เรียกร้องกับนายทุนอีกจำนวนหนึ่ง จึงตัดสินใจแบ่งขายที่นา 10 ไร่ ได้เงินมา 500,000 บาท เอาไปใช้หนี้ จนหมด

ทุกวันนี้ดำรงชีพด้วยการสานกระติ๊บข้าวเหนียวส่งขายท้องตลาด เป็นรายได้หลักส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ที่เหลือก็เก็บไว้รักษาสามีที่ป่วยจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่ง รายได้ที่ได้ก็ไม่แน่นอน เคยพาสามีไปขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้พิการเพื่อขอรับเงินผู้พิการ ทางการก็ไม่ออกบัตรผู้พิการให้ โดยอ้างว่าสามีตนป่วยมาจากที่อื่นตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ปัจจุบัน แม้ตนจะหลุดพ้นวงจรอุบาทว์นี้ได้แล้ว แต่ยังห่วงลูกหนี้อีกจำนวนมากที่ถูกนายทุนรายนี้ใช้กลอุบาย ยึดที่ยึดทาง อย่างไร้ความเป็นธรรมเพื่อขายทอดตลาด จึงขอ วิงวอนให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนรายนี้โดยด่วนด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image