สปท.รับทราบรายงานร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ ให้อำนาจกปช.ล้วงตับข้อมูลเอกชนได้

สปท.รับทราบรายงานร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ ให้อำนาจกปช.ล้วงตับข้อมูลเอกชนได้ ใครฝ่าฝืนกม.โดนโทษอาญาโดยเจตนา เตรียมเสนอ นายกฯใช้ม.44 ตั้ง กปช.ทำหน้าที่แทนก่อนประกาศใช้

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 15 พฤษภาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)มีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาวาระการปฏิรูปที่สำคัญและเร่งด่วน เรื่องผลการศึกษาและข้อสังเกตร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ของคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน ที่มีพล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน มีสาระสำคัญคือ การวางมาตรการรับมือและป้องกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต การสื่อสาร โทรคมนาคม และดาวเทียม หากเกิดสถานการณ์รุนแรงต่อระบบดังกล่าว

โดยพล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกมธ. ชี้แจงว่า ปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มีการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ สาธารณูปโภค ดาวเทียมฯลฯ ถือเป็นภัยคุกคามใกล้ตัว ทั้งในส่วนบุคคล ภาครัฐ เอกชน สร้างความเสียหายมาก กมธ.จึงศึกษาร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว พร้อมนำร่างที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) มาพิจารณา และมีข้อสังเกตและข้อเสนอเพื่อให้รัฐบาลนำไปแก้ไข เช่น การแก้ไขคำจำกัดความของไซเบอร์ให้กว้างขวาง ครอบคลุมความมั่นคงของชาติในทุกมิติทั้งด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เนต โครงข่ายโทรคมนาคม การให้บริการดาวเทียม ระบบกิจการสาธารณูปโภค ระบบกิจการสาธารณะเช่น ระบบขนส่ง ถือเป็นเครือข่ายระดับประเทศ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ความมั่นคงทางทหาร ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันยังเสนอแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(กปช.)จากเดิมให้รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธาน มาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีดีอี เป็นรองประธาน เนื่องจากความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน การให้นายกฯหรือรองนายกฯเป็นประธานกปช. เพื่อให้กำหนดทิศทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ เพราะนายกฯหรือรองนายกฯมีอำนาจกำกับดูแลทุกระทรวง ทบวง กรม ขณะที่สำนักงานกปช. ที่ร่างเดิมมีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ แก้ไขเป็น ให้เป็นส่วนราชการมีฐานะเทียบเท่ากรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการขับเคลื่อนสั่งการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โดยกปช.มีอำนาจกำกับดูแล ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ สามารถสั่งการหน่วยงานราชการ เอกชน ให้กระทำการหรือยุติการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ รวมทั้งมีอำนาจการเข้าถึงข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐและเอกชนได้ เมื่อเกิดเหตุที่เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์

Advertisement

“ส่วนข้อกังวลของภาครัฐและเอกชนที่เกรงว่า การเข้าถึงข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของกปช.จะกระทบสิทธิเสรีภาพประชาชนนั้น ได้มีการแก้ไขให้การดำเนินการดังกล่าวต้องอยู่ภายในคำสั่งศาล ยกเว้นกรณีเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนหากไม่ดำเนินการอาจเกิดความเสียหายร้ายแรง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่โดยการอนุมัติของกปช.ดำเนินการเข้าถึงข้อมูลได้ และรายงานให้ศาลทราบโดยเร็ว ส่วนบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แก้ไขให้มีโทษทางอาญาโดยเจตนาด้วยจากเดิมมีแค่โทษทางวินัยแก่หัวหน้าส่วนราชการที่ไม่ปฏิบัติตามร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว และเพื่อให้ทันต่อภัยคุกคามในปัจจุบันและอนาคต ได้เสนอให้รัฐบาลเสนอร่างดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เพื่อให้ประกาศใช้โดยเร็ว แต่ในระหว่างนี้กมธ.เสนอให้นายกฯใช้อำนาจ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 หรือมมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญปี 60 ตั้ง กปช.ขึ้นมาทำหน้าที่ก่อน และเมื่อร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศใช้ให้โอนกิจการทั้งปวงของกปช.ที่ตั้งขึ้นไปเป็นของกปช.ชุดใหม่ เสมือนเป็นการทำงานของกปช.” พล.ต.ต.พิสิษฐ์กล่าว

จากนั้น สมาชิกสปท.ได้อภิปรายแสดงความเห็น ส่วนใหญ่ท้วงติงเรื่องการกำหนดคำนิยาม “ไซเบอร์”ที่กว้างเกินไป และการมีอำนาจสั่งการให้เอกชนต้องปฏิบัติตาม อาจก้าวล่วงไปถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสปท.กล่าวว่า กมธ.กำหนดนิยามศัพท์คำว่า “ไซเบอร์” ไว้กว้างเกินไป โดยเฉพาะมาตรา 44(3) เรื่องการให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารทั้งทางไปรษณีย์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเลกทรอนิกส์ หรือดำเนินการตามมาตรการเหมาะสม แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากศาล ยกเว้นกรณีเร่งด่วน ที่ให้กปช.ดำเนินการไปก่อน แล้วค่อยรายงานให้ศาลทราบโดยเร็วนั้น หมายความว่า นอกจากจะให้มีอำนาจดักฟังได้แล้ว ยังให้ดำเนินการตามมาตรการเหมาะสมได้อีก ซึ่งน่าเป็นห่วงว่า การที่กปช.มีอำนาจสั่งการครอบคลุมไปถึงเอกชนได้ด้วยนั้น จะมีหลักประกันอย่างไรว่า อำนาจเหล่านี้จะไม่ถูกเจ้าหน้าที่นำไปใช้ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน จึงควรระบุให้ชัดเจนว่า อำนาจเหล่านี้จะไม่ก้าวล่วงไปถึงเนื้อหาในการแสดงออกของประชาชน

หลังจากสมาชิกสปท.อภิปรายครบถ้วนแล้ว ที่ประชุมได้รับทราบรายงานฉบับดังกล่าว จากนั้นจะส่งรายงานให้ครม.และคณะกรรมการกฤษฏีกาประกอบการพิจารณาต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image