ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
พูดกันมากเรื่องปฏิรูปตำรวจ เสนอกันหลายแนวทาง แต่คงต้องแยกให้ดีระหว่าง อยากให้ปฏิรูปเพราะอารมณ์เกลียดชังองค์กรตำรวจ ซึ่งข้อเสนอก็จะเต็มไปด้วยอคติเงื้อมีดจะหั่นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียให้ได้ กับปฏิรูปเพื่อให้ตำรวจดีขึ้น อำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งควรจะเป็นอย่างหลัง
ฟังข้อเสนอล่าสุดจากคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแผนการปฏิรูปกิจการตำรวจ ในคณะกรรมการประสานงานระหว่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งมี พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ
มีจุดน่าสนใจหลายประการ และดูจะเป็นการปฏิรูปตำรวจที่เป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุด
ตามคำแถลงของ พล.ต.ท.บุญเรือง ระบุว่ารายงานผลการศึกษาการปฏิรูปตำรวจนี้ จะนำเสนอเข้าที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนที่จะเสนอต่อที่ประชุม ครม.พิจารณาต่อไป
จุดสำคัญคือ องค์กรตำรวจต้องเปลี่ยนแปลง โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติย้ายจากสถานะองค์กรอิสระ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี
ให้ไปเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมแทน
เพื่อบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญามารวมอยู่ภายใต้รัฐมนตรีคนเดียวกัน และให้การบริหารจัดการกระบวนการยุติธรรมทางอาญาสอดคล้องเป็นระบบเดียวกัน ทั้งตำรวจ อัยการ ศาล จะได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด
แต่ฟังอย่างนี้แล้ว คงไม่ได้หมายความว่า จะเอาอัยการกับศาลมาขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมทั้งหมด
เพียงแต่ว่า การย้ายตำรวจมาอยู่กระทรวงยุติธรรม
น่าจะทำให้ภาพรวมของตำรวจเข้ามาอยู่ฟากของกระบวนการยุติธรรมโดยรวม
เพราะที่ผ่านมา องค์กรตำรวจมีภาพที่ก้ำกึ่งกัน ระหว่างต้องทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน กับงานด้านความมั่นคง
บางยุคสมัยก็ทำเหมือนกับตำรวจเป็นอีก 1 เหล่าทัพ กลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายความมั่นคงมากกว่า ดูดุดันน่าเกรงกลัวมากกว่า ทำไปทำมาจะกลายเป็นเกสตาโป คือตำรวจเป็นเครื่องมือในงานลับให้กับรัฐไปมากกว่า
แต่ถ้าปรับใหม่ โดยยืนยันว่าตำรวจต้องมีหน้าที่หลักคือการอำนวยความยุติธรรม มีภาพของกระทรวงยุติธรรม มีรัฐมนตรียุติธรรมเป็นผู้ดูแลสูงสุด
นั่นก็เท่ากับว่า งานตำรวจจะได้มาเน้นที่การทำคดีความต่างๆ ให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงตรงยุติธรรมมากขึ้น
ประสานกับงานสายตรวจป้องกันปราบปรามอาชญากรรม งานสืบสวนจับกุมโจรผู้ร้าย
การดูแลความยุติธรรมให้กับประชาชนผ่านการทำสำนวนคดีที่รวดเร็วเที่ยงธรรมขึ้น จะเป็นจุดหลักของแนวทางปฏิรูปนี้ จากนั้นก็ประสานคดีกับอัยการ เพื่อส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็วขึ้น
การปรับตำรวจ เพื่อมาวางจุดหลักที่งานของกระบวนการยุติธรรม จึงน่าจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมมากกว่า
ขณะเดียวกันผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการฯนี้ ยังเสนอให้เรื่องการยกระดับรายได้ เพื่อสร้างตำรวจที่สะอาดขึ้น การใช้นิติวิทยาศาสตร์ วิทยาการ เข้ามาในงานสืบสวนสอบสวน เพื่อให้เกิดมาตรฐาน โดยขยายหน่วยตรวจพิสูจน์หลักฐาน ทำให้เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญขึ้น เป็นหลักประกันให้คดีเที่ยงธรรม
การปรับปรุงงานบริหารบุคคล ต้องตั้งสเปกผู้ที่จะมาเป็น ผบ.ตร.ให้สูงขึ้น ผ่านประสบการณ์การทำคดีที่เป็นจริงชัดเจนขึ้น
ประเด็นนี้ก็สำคัญ เพื่อไม่ให้ได้ผู้นำตำรวจที่มาทางลัด
อีกทั้ง ผบ.ตร.นั้นก็เทียบเท่าระดับปลัดกระทรวงอยู่แล้ว จึงจะต้องมีบทบาทสำคัญขึ้นหากย้ายมาอยู่ในกระทรวงยุติธรรม
เอาเป็นว่าแนวทางปฏิรูปแนวนี้น่าสนใจติดตาม และอยู่บนความเป็นจริงมากกว่าแนวอื่นๆ