เปิดอกคุย ‘แม่ทัพภาค 4’ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช กับภารกิจดับไฟใต้

พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ถือเป็นแม่ทัพคนหนึ่งที่ทำงานหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่มีสถานการณ์หนักหน่วงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอของสงขลา

ถ้าย้อนการปฏิบัติหน้าที่ของ พล.ท.ปิยวัฒน์แล้ว จะพบว่า พล.ท.ปิยวัฒน์เป็นนายทหารที่รู้จักพื้นที่ทุกตารางนิ้วของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยเป็นผู้อำนวยการข่าวกรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ดูแลหน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนก้าวขึ้นสู่แม่ทัพภาคที่ 4 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

เมื่อกาลเวลาผ่านไป “มติชน”จึงขอสัมภาษณ์แม่ทัพภาคที่ 4 ถึงสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าห้างบิ๊กซี เหมือนเป็นการต่อรองของกลุ่มระดับใหญ่ของคนร้ายเกี่ยวข้องกับเวทีสันติสุขหรือไม่อย่างไร
“ผมคิดว่าเหตุที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่การต่อรองอะไร เขามีเป้าหมายคิดจะทำให้เกิดความไม่สงบอยู่แล้ว ปัจจัยต่างๆนี้ทำให้เกิดระส่ำระสาย ส่วนหนึ่งคนของกลุ่มหันมารายงานตัวร่วมพัฒนาชาติไทยกันเยอะมากขึ้น ทำให้ไม่ไว้ใจกันเอง จึงเริ่มแสดงศักยภาพให้หลากหลาย ให้รู้ว่ามีศักยภาพอยู่ ส่วนอีกประเด็น คนร้ายพร้อมให้เกิดเหตุตลอดเวลา ส่วนเราก็พร้อมทุกเวลา แต่สิ่งที่เขาทำเหนือความคาดหมาย ทำแบบคนขี้ขลาด วางระเบิดแล้ววิ่งหนีไปแบบหน้าด้านๆ เราไม่สามารถตอบโต้ได้มาก เพราะตอบโต้รุนแรง คนที่วิ่งหนีอาจจะเป็นชาวบ้าน

Advertisement

เมื่อเป็นชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ที่กระทำไปก็ต้องขึ้นศาล เพราะฉะนั้นสิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของเรา เราไม่มีสัญญาณบอกว่าเขาเป็นใคร เขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา บางทีแต่งเป็นชุดผู้หญิงมา อันนี้คือสิ่งที่เราต้องสู้กับคนที่ไม่มีตัวตน อย่างที่บอกว่า เจ้าหน้าที่สู้กับคนเก่งคนกล้าเราไม่กลัว แต่สู้กับคนขี้ขลาดเรากลัว”

มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า กลุ่มบีอาร์เอ็นที่อินโดนีเซียต้องการให้มีตัวแทนเป็นกลางเข้ามีส่วนร่วมในเวทีสันติสุข ทั้งที่การเจรจาเดินทางมาไกลแล้ว
แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า “ในความคิดของผม เป็นสิ่งที่เขาพยายามดึงเวลาไว้เฉยๆ การเจรจาพูดคุยกันต้องมาจากข้างบน เป็นเรื่องระดับข้างบน ส่วนในระดับกลางเป็นผู้ปฏิบัติ แยกเป็นคนละส่วน แต่ละคนสร้างความสำคัญเกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น ข้างบนเขาก็ไม่ได้รู้หรอกว่าใครคุมที่ จ.ยะลา ไม่เหมือนของทหาร รู้ว่าใครเป็นทัพภาค 1 ทัพภาค 2 หรือทัพภาค 3 ส่วนของเขา เขาไม่รู้เลย ที่ผ่านมา มีจำนวน 3-4 คนที่เราเชิญตัวมาซักถาม อยู่แค่คนละตำบลกันพวกนี้ยังไม่รู้จักกันเลย ยิ่งอำเภอเดียวกันพวกนี้ยังไม่รู้จักกันเลย”

ย้อนไปเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ทั้งกลุ่มบีอาร์เอ็นกับพูโล ยอมรับว่ามีกลุ่มเหล่านี้จริง แต่มาถึงทุกวันนี้ คนกลุ่มพวกนี้ตายไปหมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว ยังเหลือแต่พวกที่อาศัยคำว่าบีอาร์เอ็น เป็นพวกใหม่ๆ โดยเฉพาะพวกที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว พวกนี้ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใครหรือจะเป็นบีอาร์เอ็น แม้แต่พวกเรายังตอบไม่ได้ว่าบีอาร์เอ็นคืออะไร ย่อมาจากอะไรก็ไม่รู้ แต่มันคือตัวย่อหรือตุ๊กตาที่เราตั้งขึ้นมาให้กับคนที่ไม่รู้ความจริงในพื้นที่ แล้วนำมาอ้างขึ้นมา เพื่อพยายามสร้างสถานการณ์ให้ดูว่ารุนแรง

Advertisement

เขาอ้างขึ้นมาเพื่อที่จะเขียนว่าเป็นบีอาร์เอ็น ทำให้เกิดความกลัว อีกทั้งมันเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ เพราะว่าในพื้นที่ (จังหวัดชายแดนภาคใต้) มีนักลงทุนเพิ่มขึ้น อย่างที่บอกว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เหมือนใคร ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ภูเขามีแร่ ทะเลมีแก๊สและน้ำมัน แต่ภาคอื่นๆไม่มี พอนักลงทุนเดินทางเข้ามาในพื้นที่ก็จะเกิดเหตุรุนแรงขึ้น เหมือนไม่อยากให้นักลงทุนเข้ามา เพื่อที่จะรับทุนร่วมอยู่คนเดียวหรือองค์กรเดียว ไม่ให้ใครยุ่ง

ในส่วนของการกระทำเหตุใหญ่ อย่างเช่นปัตตานี จะสังเกตว่าคนร้ายจะไม่ใช่แค่จังหวัดเดียว บางทีมาทั้งยะลา นราธิวาส
แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า “อย่าลืมว่าสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนกว่าจะข้ามจังหวัดมาได้ต้องขี่ม้าขี่ช้าง อันนี้ผมสมมติให้เห็นภาพนะครับ แต่สมัยนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ แป๊บเดียวถึงเลย โทรศัพท์แป๊บเดียวถึงเลย ความมีอยู่ทุกกลุ่มยังติดต่อกันอยู่”

ความคืบหน้าของเหตุห้างบิ๊กซี เจ้าหน้าที่จับคนร้ายร่วมก่อเหตุได้เท่าไหร่แล้ว
พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า “ออกหมายจับไป 9 คน แล้วก็มีที่ควบคุมได้ ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด และภาคเอกชนเราทำงานด้วยกันตลอด ทำงานมานานแล้วเมื่อเกิดเหตุ เรามีการบูรณาการกันมาตลอด พอจับได้เกิดเหตุไม่ถึง 4-5 ชั่วโมงเราก็รู้ตัวและขยายผลต่อไปเป็นจุดๆ รู้แม้กระทั่งว่าใช้โทรศัพท์มือถือโทรไปหาภรรยา แล้วก็เล่าไปถึงระเบิดบิ๊กซีว่าไปประกอบระเบิดที่ไหน ใครประกอบบ้าง มีชื่ออะไรบ้าง”

เมื่อรู้ว่าคนร้ายมีส่วนร่วมแล้ว ทางแม่ทัพมียุทธการอย่างไรในการเข้าดำเนินการ
แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า “ด้านยุทธการเราเข้าถึงหมด ทั้งทหารทัพบก ทัพเรือ และทัพอากาศ เราเป็นทหารอาชีพอยู่แล้วแผนก็คือไม่มีแผน ถ้ามีแผน ฝ่ายตรงข้ามก็รู้ว่าทำอะไร ผมจึงไม่มีแผน ทหารทุกคนเป็นทหารอาชีพว่ารบพิเศษต้องทำอะไร ทหารม้าทหารราบต้องทำอะไร มนุษย์กบทำอะไร ทหารพรานทำอะไร เจ้าหน้าที่ทหารทุกนายต่างเข้าใจและรู้ว่าจะต้องปฏิบัติภารกิจอย่างไรในเรื่องที่้เกิดขึ้น เราทั้งหมดประสานกัน รวมทั้งการแจ้งกับประชาชน”

ในส่วนของภาคประชาชนนั้น ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ดึงเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองอย่างไร
พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า “ผมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เข้ามาสังเกตการณ์ แต่ก่อนเราสอนอยู่แล้ว แต่ว่ามันยังไม่ถึงขั้นเพราะว่ายังไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ (ระเบิดห้างบิ๊กซี) วันนี้เราจะสอนเขาว่าถ้าเกิดเหตุเช่นนี้ จะมีสิ่งบอกเหตุอย่างไร จะติดต่อที่ไหน และจะปฏิบัติตนในพื้นที่อย่างไร และรัศมีระเบิดอย่างไรจะมีการหลบอย่างไร เพื่อให้ไปสอนลูกเมียต่อ ในเรื่องการขยายผลต่อไป เพื่อให้ลูกเมียได้ทราบว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ควรอยู่ตรงไหน ภรรยาไปเดินห้าง ถ้าเจอเหตุการณ์นี้จะไปอยู่ตรงไหน”

เหมือนเราคู่มือการดูแลตัวเองหลังเกิดสึนามิขึ้นมาแบบที่ประเทศญี่ปุ่นทำเป็นคู่มือสากล ถ้า เกิดสึนามิ ประชาชนจะปฏิบัติอย่างไร แผ่นดินไหว ประชาชนต้องทำอย่างไร จะต้องมุดลงใต้โต๊ะ ถ้าเกิดเหตุไฟไหม้ ก็ให้เอาผ้าขนหนูเปียกน้ำปิดประตู เช่นเดียวกัน อันนี้เป็นพื้นที่พิเศษว่าถ้ามีเหตุการณ์ที่คนแจ้งมาว่าข้างหน้ามีระเบิด คุณจะไปอยู่ตรงไหน แล้วจะไปหลบอย่างไร รัศมีขนาดไหน

การทำคู่มือนี้น่าจะบรรจุไว้ในตำราเรียนของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า “ได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดไปแล้ว จะใช้ในตำราเรียน สอนสักวันละครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง เฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ส่วนใน 12 จังหวัดภาคใต้ จะค่อยประสานเพิ่มเติมอีก ให้รู้เป็นหลักว่าระเบิดอย่างไร เพราะทางชุมพร ระนอง จะเกี่ยวกับเรื่องสึนามิหรือแผ่นดินไหว แต่ถ้าเป็นไปได้ก็จะทำทั้ง 14 จังหวัด แต่จะเน้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้ก่อน”

ในช่วงถือศีลอดของพี่น้องชาวมุสลิม มีมาตรการคุมเข้มรักษาความปลอดภัยอย่างไรบ้าง
พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า มาตรการยังเข้มข้นเหมือนเดิม เรามีภาคกำลังประชาชนมาเพิ่มแล้ว ประชาชนก็ตื่นตัวและร่วมปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบ เราฝึกอบรมให้กลับไปดูแลตัวเองเพื่อร่วมทำงานกับทหารและตำรวจ

“ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ผมจะเชิญผู้นำศาสนาทั้งหมดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาคุยกันถึงเหตุที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เพราะผู้ก่อเหตุรุนแรงเอาพื้นที่ศาสนสถานไปแสวงประโยชน์ ให้มีการทำร้ายร่างกายกันในนั้น มีการหลบหนีเข้าไปอยู่ในนั้น มีการซุกซ่อนอาวุธ สิ่งที่ผมพูดมา 3 อย่างนี้ เป็นจริงทั้งหมด เรามีหลักฐานจริง มีประวัติ มีทุกอย่างที่รู้ว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้เราจะคุยกับผู้นำศาสนาว่าจะทำอย่างไร ให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าไปได้เลย เข้าได้รวดเร็ว มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ต้องถามผู้นำศาสนาก่อนว่าต้องทำอย่างไร

แต่ทุกอย่างที่ผมบอกไปแล้ว ก็คือ ขั้นต้นทหารอาชีพทำตามกฎอยู่แล้ว จะรู้ว่าทำอย่างไร”

ต่อมาคือ ภัยแทรกซ้อน ภัยแทรกซ้อนที่ผมจะเรียนให้ทราบว่า ตราบใดที่คนร้ายยังมายุ่งกับเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน หรือมีการยิง วางระเบิด ภัยแทรกซ้อนก็ยังทำงานเต็มรูปแบบทั้ง 14 จังหวัด

จับทุกเม็ดทุกอย่างทุกหยดทุกม้วนทุกขวด
จับหมด เพื่อให้ทราบกันว่า คุณทำแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น”

เขมินท์ เกื้อกูล สัมภาษณ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image