ศุลกากรหนองคาย รวบ 6 สาวอุ้มบุญกลับจากฝั่งลาว สารภาพรับจ้างชาวจีนฝังตัวอ่อน

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 20 พฤษภาคม ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 1 อ.เมืองหนองคาย นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย, นายสมบัติ ฆ้อนทอง หัวหน้าฝ่ายสืบสวนและปราบปรามด่านศุลกากรหนองคาย พร้อมเจ้าหน้าที่ศุลกากร ร่วมกันตรวจสอบรถยนต์เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ สีขาว ทะเบียน 3กส 8296 กรุงเทพมหานคร ขณะขับเข้ามาจากประเทศลาว โดยมีนายนิคม สีมารัตน์ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/25 ถ.เชื้อเพลิง แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เป็นคนขับ มีหญิงสาว 6 คน อายุระหว่าง 25-34 ปี นั่งโดยสารมาในรถจนเต็ม ตรวจสอบภายในรถพบถังไนโตรเจนเปล่า 1 ใบ ไม่มีความเย็นหลงเหลืออยู่ กล่องโฟมปิดเทปกาวแน่นหนา เปิดดูพบว่าภายในมีหลอดพลาสติกรูปทรงกรวย ขนาด 2 เซนติเมตร จำนวน 42 หลอด บรรจุในกล่อง 1 กล่อง ด้านบนปิดแถบพลาสติกเขียนตัวอักษร yy / tj / yg แต่ละหลอดระบุวันที่ไว้ด้วย เช่น 18/5/17 , กล้องจุลทรรศน์ 1 ตัว พร้อมเครื่องสำรองไฟ 1 เครื่อง
เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้แยกสอบสวนอยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งตอนแรกต่างคนต่างให้การขัดแย้งกัน ข้อมูลไม่ตรงกัน ตรวจสอบหนังสือเดินทางหญิงสาวบางคนเพิ่งเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก จนกระทั่งเจ้าหน้าที่พบสมุดบันทึกเล่มเล็กอยู่ในกระเป๋าสะพาย น.ส.เอ (นามสมมติ) ชาวอำนาจเจริญ มีการจดบันทึกรายชื่อผู้หญิง 7 คน ที่ทำการใส่ตัวอ่อน และผลการใส่ตัวอ่อนว่าใครใส่แล้วติดหรือใส่แล้วหลุด เป็นหลักฐานไว้ด้วย
นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย กล่าวภายหลังทำการสอบสวนจนได้ข้อมูลชัดเจนแล้วว่า หลังจากเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา ศุลกากรหนองคายได้จับกุมชายคนหนึ่งขณะจะนำถังไนโตรเจนภายในบรรจุเชื้ออสุจิเดินทางออกนอกประเทศ จนสืบทราบว่ามีขบวนการอุ้มบุญในประเทศไทยไปใช้สถานที่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งระยะแรกยังเข้าใจว่าเป็นการให้หญิงต่างชาติเป็นคนฝังตัวอ่อนหรืออุ้มบุญ แต่ในครั้งนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ขบวนการอุ้มบุญนี้ใช้ผู้หญิงไทยเป็นหลัก จากข้อมูลที่ได้พบว่า มี นายรัน ชาว ชาวจีน อายุ 35 ปี อาศัยอยู่ที่กรุงเทพ เป็นคนว่าจ้างทุกคน ตั้งแต่ว่าจ้างนายนิคมให้ขับรถรับส่ง ว่าจ้างนางสาวเอให้ช่วยหาผู้หญิงไทยที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และทุกคนมีสามี มีลูกแล้ว ให้มาทำการฝังตัวอ่อน ทำการอุ้มบุญ โดยเจรจาค่าอุ้มบุญให้ตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท หลังคลอดเสร็จก็จะได้เงินค่าจ้างทั้งหมด ซึ่งครั้งนี้หญิงสาวทั้ง 6 คน เดินทางไปประเทศลาวตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. โดยนายจ้างชาวจีนออกค่าเครื่องบินจากกรุงเทพฯ มาสนามบินอุดรธานี ทั้งขาไปและขากลับ รวมทั้งค่าโรงแรมที่ฝั่งลาวให้ทั้งหมด
จากนั้นนายนิคมมารับหญิงสาวทั้ง 6 คน ไปเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ แล้วทำการตรวจร่างกายที่สถานบริการแห่งหนึ่งในนครหลวงเวียงจันทน์ มีคนไม่ผ่านการตรวจร่างกาย 2 คน อีก 3 คนมีปัญหาขัดข้องบางประการ ทำให้ไม่มีใครได้ฝังตัวอ่อน ส่วน น.ส.เอ เป็นคนประสานงาน เมื่อทำงานไม่สำเร็จจึงได้เดินทางกลับประเทศไทย ประกอบกับถังไนโตนเจนที่พบเป็นถังเปล่า ไม่มีเชื้ออสุจิ ตัวอ่อนอยู่ภายใน และยังไม่ทราบชัดเจนว่าภายในหลอดรูปทรงกรวยเป็นอะไร ถือว่าความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 ยังไม่สำเร็จ ศุลกากรจึงทำได้เพียงเปรียบเทียบปรับนายนิคม ในฐานความผิดลักลอบหนีศุลกากร ทำการเปรียบเทียบปรับ 89,880 บาท ยึดของกลางทั้งหมด แล้วปล่อยตัวทุกคนไป ส่วนเอกสารสมุดบันทึกจะส่งให้ตรวจกองปราบไว้เป็นหลักฐานประกอบอาจใช้ร่วมกับคดีในครั้งที่แล้วก็ได้

ขณะเดียวกัน นางสาวบี (นามสมมติ) ชาวนครพนม ให้ข้อมูลว่า ได้รับการติดต่อจาก น.ส.เอ ให้มาฝังตัวอ่อนและอุ้มบุญ ตนต้องการเงินจึงได้ปรึกษาสามีจนตกลงทำ พอเป็นประจำเดือนก็จะโทรบอก น.ส.เอ หลังจากนั้น น.ส.เอ ก็จะให้กินยาบำรุงไข่เป็นแผง เช้า-เย็น เป็นเวลา 10 วัน แล้วจึงเดินทางไปประเทศลาว เมื่อไปถึงก็เข้าพักที่โรงแรม ฝนตกทั้งวันไม่ได้ออกไปไหน หากฝังตัวอ่อนสำเร็จจนคลอดก็จะได้เงิน 300,000 บาท
ด้าน น.ส.ก้อย (นามสมมติ) ชาวสุรินทร์ ให้ข้อมูลว่า ตอนแรกที่ได้รับการติดต่อก็ปรึกษาสามี สามีไม่ยอมให้ทำ แต่ตนก็ให้เหตุผลว่าบ้านจนเงินไม่พอเลี้ยงลูก สามีจึงยอม ตนจึงได้เดินทางมาพร้อมกับทุกคน แต่ตนตรวจร่างกายไม่ผ่านจึงไม่ได้ฝังตัวอ่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image