ลิเกไทยกำลังกลับมา? ความบอกเล่าจาก’ศรราม เอนกลาภ’ เรื่องจริง ที่ไม่อิงนวนิยาย

กว่า 14 ปีที่ชื่อของคณะ “ศรราม น้ำเพชร” โลดแล่นอยู่บนเส้นทางลิเกไทย

กาลเวลาผันแปรคณะลิเกเด็ก นำความเติบโตสู่พวกเขาให้กลายเป็นคนหนุ่มสาวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

“ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนกระแสลิเกมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นเรื่องโชคดี” คำยืนยันจาก ศรราม เอนกลาภ หรือ แบงค์ พระเอกลิเกหนุ่ม คณะ ศรราม น้ำเพชร ที่กล่าวกับมติชนโดยตรง

ศรรามในปีนี้มีอายุย่าง 21 ปี เกิดและเติบโตมาในครอบครัวลิเก แม้บรรพบุรุษอย่างปู่ ย่า ตา ยาย ต่างก็ล้วนเป็นคนลิเกด้วยกันทั้งสิ้น

Advertisement

คุณพ่อชื่อประสาท เอนกลาภ อดีตพระเอกลิเก คณะมนตรี มนต์รัก จาก จ.อ่างทอง ส่วนคุณแม่แก้วใจ ลูกท่าเรือ หรือที่คนลิเกรู้จักกันในนามดวงแก้ว ลูกท่าเรือ คณะจำเนียรน้อย ดวงแก้ว ลูกท่าเรือ จาก จ.พระนครศรีอยุธยา

มีพี่สาว 1 คน คือน้ำเพชร เอนกลาภ หรือเฮ็น นางเอกสาวสวยแห่งคณะศรราม น้ำเพชร

ปัจจุบัน ศรรามศึกษาอยู่ที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ โดยมีเป้าหมายว่าจะเล่นลิเกต่อไป จนกว่าผู้คนจะหมดความนิยมลง

Advertisement

 

จุดเริ่มต้นของคณะศรราม น้ำเพชร อยู่ตรงไหน?

เริ่มตั้งคณะตอนผมอายุ 6 ขวบ ราว 7 ขวบปลายๆ ช่วงลอยกระทงปีนี้ก็ครบ 14 ปีแล้ว

จริงๆ ผมเริ่มเล่นลิเกตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนอัดซีดีลิเกรวมดาวก็ไปเล่นกับคณะอื่นๆ แต่ยังไม่มีคณะเป็นของตัวเอง ผมไปในนามลูกชายแม่ดวงแก้ว ตอนแสดงก็ออกไปร้องกลอนธรรมดา พูดแนะนำตัวนิดหน่อย ยังไม่ได้รับบทบาทอะไร จนคุณพ่อตัดสินใจตั้งคณะ รวมลูกหลานเข้าด้วยกัน มาฝึกซ้อมกัน จนที่สุดมาเป็นคณะศรราม น้ำเพชร

ทำไมตอนนั้นถึงตั้งเป็นคณะลิเกเด็ก?

ตอนแรกคุณแม่อัดซีดีกับซ้อโรส ของโรส มีเดีย เอาแบงค์กับพี่เฮ็นไปร่วมรับเชิญ ซ้อเลยเสนอมาว่าทำไมไม่ตั้งคณะลิเกเด็กเป็นคณะศรราม น้ำเพชร ไปเลย จึงลองทำดู พออัดซีดีได้เรื่องหนึ่งก็มีคนติดต่องานแสดงเข้ามา

เป็นลิเกเด็กคณะแรก?

จริงๆ คณะแรกคือลิเกเด็กวัดสระแก้วของพี่เอ ไชยา มิตรชัย แต่เราเป็นคณะแรกที่สามารถจุดประกายหรือทำให้คนหันมาสนใจลิเกมากขึ้น

ตอนเด็กฝึกหนักไหม?

หนักนะครับ เหมือนทุกคนต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ตอนตั้งคณะแรกๆ ช่วงวันศุกร์-อาทิตย์ทุกคนต้องมาอยู่บ้านหลังเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ตั้งวง ต่อเสียง ไล่เสียงกันไป เช้าซ้อม เย็นซ้อม วันละ 2 ครั้ง ซ้อมเสร็จก็แยกย้ายไปเที่ยวเล่น กินข้าว แต่ต้องกินข้าวพร้อมกัน เขาจะปลูกฝังความสัมพันธ์พี่น้องในคณะแบบนี้ตลอด

สิ่งเหล่านั้นคือวัฒนธรรมของลิเก?

ไม่ใช่วัฒนธรรมครับ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะลิเกต้องแสดงร่วมกันเป็นหมู่คณะ

การรวมกันเป็นหมู่คณะได้ต้องมีความสัมพันธ์เหนียวแน่น ต้องมีความจริงใจ รักกันแบบพี่น้อง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตามมาภายหลัง หรือเวลามีปัญหาจะได้คุยกันรู้เรื่อง

ปัจจุบันลิเกที่เป็นทีมอย่างคณะผมจริงๆ มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นแบบจับฉ่าย เช่น มีงานครั้งหนึ่งก็เชิญคนนั้นคนนี้มา มันไม่ใช่คำว่าทีมอย่างคณะศรราม น้ำเพชร ซึ่งสเน่ห์ของเราจริงๆ คือตรงนี้

เราเล่นลิเกเป็นทีม บางครั้งเราอาจจะเล่นออกนอกบทบ้าง เป็นการหยิบสดเลย ก็ถือเป็นสเน่ห์ เป็นการร้องไปเลย ไม่มีคำว่าผิดพลาด การแสดงจะได้ออกมาอย่างเพอเฟ็กต์

เพราะโตมาในครอบครัวลิเก จริงๆ แล้วอยากเป็นลิเกรึเปล่า?

จริงๆ แล้วไม่ได้อยากเป็น ตอนเด็กๆ ไม่มีความคิดอยากเล่นลิเกเลย

ย้อนกลับไปก่อน 4 ขวบก็ยังเฉยๆ แต่ผมรู้ว่าแม่ผม พ่อผม พี่สาวผมเล่นลิเก ก็ยังเฉยๆ ไปตามงานก็ไปเล่นของเล่น ซื้อของเล่นตามประสาเด็ก จนคุณแม่พูดว่าลองชวนแบงค์มาเล่นลิเกดู พี่เฮ็นก็เล่นนะ ได้เงินด้วย จะได้ไม่ต้องมาขอเงินแม่

ตอนแรกก็คิดว่าจะดีเหรอ แต่ผมร้องได้อยู่แล้ว ซึมซับไปแล้ว ไม่ได้กลัวว่าจะร้องผิดไหม ตั้งแต่วันนั้นพอตัดสินใจแต่งตัวออกไปเล่นครั้งแรก ก็มีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม จนถึงทุกวันนี้ เหมือนเป็นการปลดล็อกตัวเอง

ปัจจุบันคนดูจะเน้นไปที่เสียงร้องมากกว่า แต่จริงๆแล้วอย่าลืมว่าเอกลักษณ์ของลิเก คือ การำไปด้วย ร้องไปด้วย การรำก็ต้องรำให้ถูกต้องไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่ลิเกไทย

ถ้าวันนั้นไม่ตัดสินใจเล่นลิเก คิดว่าวันนี้เราทำอะไรอยู่?

คงเรียนอยู่ และคงจะเรียนดีมากด้วย เพราะเป็นคนความจำดี

ถ้าอยากเป็นลิเก ต้องไปเรียนหรือควรเริ่มต้นจากตรงไหน?

คนที่อยากจะเล่นลิเก ตอนนี้ถ้าเป็นคณะผม ถ้าจะมาเริ่มฝึกตั้งแต่ต้นก็ไม่ใช่ ต้องผ่านการฝึกมาบ้างแล้ว ถ้าใครอยากจะเป็นจริงๆ ต้องขึ้นกับพรแสวง คุณต้องฝึกฝนตนเองก่อน

ถ้าจะแต่งหน้าออกมานั่งเฉยๆ ก็ไม่ใช่แล้ว อย่างน้อยต้องมีอะไรมายืนยันการันตีว่าคุณพร้อมจริงๆ ร้องได้ รำได้

คิดว่าลิเกเป็น “อาชีพ” ของเราไหม?

ใช่ครับ ถ้า ณ ตอนนี้ผมมองว่าลิเกคือที่สุดแล้ว เราเริ่มจากศูนย์ มีบ้าน มีรถ มีลูกน้อง สบาย ทุกคนมีบ้าน ซื้อรถกันได้ก็เพราะลิเกที่เราทำมา

ถ้าเป็นสมัยก่อนคนจะคิดกันว่าถ้าลิเกไม่มีงานทำก็ไม่รู้จะไปทำอะไร แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนกระแสลิเกมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นเรื่องโชคดี

คิดว่ากลับมาเพราะอะไร?

ก็แปลกครับ ตั้งแต่ผมแสดง ลิเกก็กลับมา

ลิเกเด็กเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ หาดูง่ายกว่าเมื่อก่อน ยิ่งมีโซเชียลด้วย มีแฟนคลับวัยรุ่น นักศึกษา เด็กน้อย ผู้ใหญ่ มีเกือบทุกเพศทุกวัยเลยที่หันมาชอบลิเก

ทำอย่างไรให้กระแสลิเกยังคงอยู่ แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อันดับแรกต้องขอบคุณพวกเจ้าภาพที่หางานลิเกมา ตรงนี้เป็นข้อแรกที่ทำให้ลิเกยังไม่หายไป คนยังมีความสนใจที่จะดูลิเกอยู่ พอมีลิเก จะมีพวกวัยรุ่น มีนักข่าวมาทำข่าว มีรายการเชิญไปออก คนเริ่มเห็นเรามากขึ้น ซึ่งเวลาผมไปก็ไปในนามพระเอกลิเกอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้ไปบอกว่าลิเกมีแค่เราคณะเดียว ผมไปทุกครั้ง ผมไปแสดงให้เขารู้ว่าลิเกเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เป็นมรดกไทยอีกอย่างหนึ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้

การมีโซเชียลก็ช่วยได้เยอะ เวลามีแฟนคลับวัยรุ่นมาดูก็ไปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เพื่อนเห็นก็จะถามว่าคืออะไร เขาก็ชวนกันมาดู มันเป็นสิ่งหนึ่งที่คนเริ่มเห็นผ่านตามากขึ้น

ลิเกต้องทำพีอาร์หรือทำการตลาดไหม?

ไม่นะครับ ถ้าในกรณีที่เพื่อให้รู้จัก ถ้าเป็นคณะของผมจะมีแฟนเพจอยู่แล้ว ก็จะมีการลงตารางงานทุกวันว่าวันนี้จะไปแสดงที่นี่ แล้วแต่ละวัด แต่ละที่ที่จ้างเราก็โปรโมตงานอยู่แล้ว มีการทำป้ายไปติดข้างทาง คนก็จะเห็น ก็เหมือนเป็นการพีอาร์

ส่วนคณะอื่นก็ทำครับ แล้วแต่คณะ แต่ส่วนมากก็ลงในเฟซบุ๊กเป็นสื่อกลาง บอกว่าวันนี้ผมเล่นที่นี่นะ ไปให้กำลังใจผมด้วย

ด้านความเป็นลิเกเอง มีบุคคลต้นแบบหรือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตไหม?

ในความเป็นลิเก ผมมองว่าพ่อเป็นไอดอล ร่วมกับพี่เอ ไชยา แต่ให้น้ำหนักทางคุณพ่อมากกว่า เพราะว่าคุณพ่อเป็นพ่อครูเรา ทั้งสอนรำ สอนร้องให้แก่เราด้วย

ส่วนมากคนก็จะบอกว่า คนที่ดูพ่อผมแล้วมาดูผมเล่น จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเล่นเหมือนพ่อเลย เหมือนถอดมาจากคนๆ เดียวกัน ผมมองว่าคุณพ่อเป็นลิเกคนหนึ่งที่มีท่ารำสวย ถูกต้องตามหลัก เพราะว่าลิเกต้องรำไปด้วยร้องไปด้วย

ปัจจุบันคนดูจะเน้นไปที่เสียงร้องมากกว่า แต่จริงๆ แล้วอย่าลืมว่าเอกลักษณ์ของลิเกคือการรำไปด้วย ร้องไปด้วย การรำก็ต้องรำให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่ลิเกไทย คนจะมองว่าลิเกไม่มีแบบแผน

แบ่งพาร์ตชีวิตเป็น “แบงค์ ศรราม” กับ “พระเอกลิเกศรราม น้ำเพชร” ไหม?

จริงๆ แล้วตอนผมไม่แต่งชุดลิเก ผมก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีความต้องการอยากทำอย่างอื่นบ้าง แต่ด้วยความที่เรามีงานต้องรับผิดชอบ ส่วนที่นอกเหนือจากลิเกก็อาจจะได้ทำบ้าง แต่มีเวลาจำกัด แต่มันก็มีความสุขที่ได้ทำ เช่น ว่างๆ ไปไหว้พระ หรือทุกปีจะไปเที่ยวต่างประเทศ ไปผ่อนคลายในระยะเวลาสั้น เราก็เต็มที่กับมัน แล้วก็กลับมาทำงานต่ออีก 8 เดือนยาวๆ

มีวันหยุด?

มีเหมือนกัน แต่ก็เหมือนกับไปกินข้าว ไม่ค่อยได้เที่ยวผับเที่ยวอะไร พอเราไปสัมผัสตรงนั้นมันสนุกแป๊บเดียว ไม่ใช่ชีวิตเรา คือแค่กินข้าวกับเพื่อน อยากจะไปที่ไหนก็ไป

เบื่อไหมที่เป็นคนของประชาชนแล้วต้องถูกจับตามองตลอดเวลา

ผมไม่ได้ซีเรียสที่คนจับตามอง เพราะเวลาเราทำดี เราไม่ได้สร้างภาพ อย่างเวลาอยากจะทำบุญก็ไปทำ มีลงโซเชียลเป็นการบอกบุญต่อๆ กันไป ส่วนมากที่ทำให้ผมปวดหัวจะเป็นกรณีที่อยู่ดีๆ มีข่าวปั้นขึ้นมา บางทีก็มีโมโหบ้าง แต่ก็เข้าใจ อย่างน้อยก็ทำให้คนที่ไม่รู้จักเราเลยได้รู้จักเรามากขึ้น ส่วนคนที่รู้จักเราก็ติดตามว่าข่าวที่ว่าจริงไหม

เรามั่นใจว่าสามารถทำให้คนชอบเราได้โดยไม่รู้ตัว เพราะการเป็นคนจริงใจและไม่มีเรื่องเสียหายหรือปิดบังอะไรไว้ ไม่นานคนที่ไม่ชอบเราที่สุดก็ต้องรู้สึกดีกับเราเอง

เป้าหมายคือเล่นลิเกต่อไปเรื่อยๆ?

ตอนนั้นยังเป็นเด็ก ไม่ได้คิดอะไร ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะยึดอาชีพนี้ คิดแต่ว่ามีงานแล้ว ดีใจๆๆ ก็เล่นไปเรื่อยๆ จนเราเริ่มโต เราเริ่มรู้ว่าเราต้องรีบกอบโกยจากตรงนี้ เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอะไร กระแสจะเปลี่ยนไปไหม

ตอนนี้ก็เป็นพระเอกไปเรื่อยๆ เพิ่งอายุ 20 ปีเอง บางคนอายุ 40 จะ 50 ปียังเป็นพระเอกเลย อยู่ที่คนดูด้วย ถ้าคนไม่ชอบ ทำยังไงคนก็ไม่ดู แต่ถ้าคนยังชอบอยู่ ยังนิยมอยู่ก็แสดงได้ นี่คือลิเกครับ

มีความชอบอื่นนอกจากลิเกไหม?

อยากแสดงหนัง เคยเล่นหนังเรื่องหนึ่งชื่อเลิฟ เซเฮฯ (เลิฟเซเฮ อยากเซย์ว่ารักเธอ ของบริษัท มั่งมีโปรดักชั่นส์ จำกัด) ถ้ามองในมุมหนังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของรายได้ แต่เราก็อยากจะให้คนยอมรับเราอีกด้านหนึ่งนอกจากลิเก เช่น เล่นหนัง เล่นละคร หรือร้องเพลง

พระเอกลิเกต้องเจ้าสำอางจริงไหม?

ก็ต้องดูแลตัวเอง มันเป็นภาพลักษณ์ ถ้าพระเอกมีสิวเต็มหน้า หัวฟู ใครจะอยากเข้าใกล้ บางคนทุกอย่างอาจจะต้องเนี้ยบ แต่ผมเป็นคนง่ายๆ แต่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย
ส่วนวิธีการดูแลตัวเองก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเรา บางทีเราก็ต้องทานอาหารที่เป็นประโยชน์

มีคนช่วยดูแลอยู่?

ไม่มีครับ ต้องดูแลตัวเอง เสียตรงที่ไม่มีคนคอยจัดยา ทุกวันนี้จะกินข้าวก็ต้องสั่งพี่เลี้ยงไปซื้อให้ ไม่มีแบบจัดวางไว้ให้ ถ้ามีก็จะง่ายขึ้นมาก

ส่วนตัวมองอนาคตของลิเกไทยอย่างไร

ผมก็ยังตั้งใจว่าจะเอาลิเกไปโกอินเตอร์ ทำให้เป็นที่นิยมของต่างประเทศให้ได้ หรือทำให้เป็นสากล ให้ต่างประเทศรู้จักมากขึ้นกว่าตอนนี้ มีแฟนคลับบอกว่าจะพาไปอังกฤษ แต่ยังไม่เคยไปเป็นคณะ เพราะที่ผ่านมาเคยมีคนติดต่อให้ไปอเมริกา เยอรมัน แต่คิวไม่ได้

ทางราชการเคยติดต่อมาบ้างไหม?

ไม่มีครับ ส่วนมากจะเอาเด็กนาฏศิลป์ไปรำโชว์ และเราก็มีงานอยู่แล้ว

ปกติรับงานอะไรบ้าง?

ทุกงาน งานศพ งานแต่ง งานแก้บน งานประจำปี ขอให้เจ้าภาพกล้าหา เราก็กล้าไปเล่น

บางทีก็มีไปเล่นในเรือนจำ ไปเล่นให้นักโทษดู อย่างบนห้างก็เป็นเจ้าของห้างติดต่อมา แฟชั่นไอส์แลนด์ ดิโอลด์สยาม ก็ไปแสดงมาแล้ว

เคยได้ยินว่าลิเกใกล้จะตาย โดยเปลี่ยนจากคล้องมาลัยมาเป็นการให้ดอกไม้ ขนม ผลไม้ หรือทำอาหารมาให้แทน นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่?

ก็มีครับ บางคนทำกับข้าวมาให้ จริงๆ แล้วเราไม่ได้ต้องการมาเล่นเอาเงินอย่างเดียว มีคนจ้างงานเรา เราได้แน่ๆ อยู่แล้ว ค่าตัวเราก็มีทุกคืนๆ

อีกอย่างหนึ่งคือบางคนมีอคติกับลิเกมาก อย่างที่ผมเคยอ่านข่าวหรือพวกคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก มีคนแสดงความเห็นว่าคนข้างบ้านติดลิเกมากเลย เอาเงินไปให้เขา จนทะเลาะกันก็มาเหมารวม ซึ่งจริงๆ ตรงนั้นมันอยู่ที่นิสัยของคนๆ นั้นมากกว่า อาชีพเราเป็นอาชีพที่สุจริต ถ้าเราซื่อสัตย์ต่ออาชีพเรา เราก็จะเจริญ แต่ถ้าเราเอาอาชีพเราไปทำในทางที่ไม่ดี ถึงชีวิตคุณจะดีขึ้น แต่มันก็ไม่ยั่งยืน เพราะคุณไม่ซื่อสัตย์กับอาชีพตัวเอง เพราะอาชีพเรามีครูบาอาจารย์

บางทีผมอ่านแล้วไม่พอใจ เพราะเรามีอาชีพลิเกเหมือนกัน เราไม่ได้เป็นแบบนั้น จะมาเหมารวมว่าทุกคนที่เป็นลิเกจะต้องเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่ ควรให้เกียรติลิเกคนอื่นๆ บ้าง

เคยส่งเสียงกลับไปไหม?

เราทำอะไรไม่ได้ เพราะเราเป็นคนของประชาขน มันเป็นดาบสองคม ก็เงียบไว้ ถือว่าต่างคนต่างความคิด เขารู้อะไรไม่จริงก็ปล่อยเขาพูดไป เพราะมันไม่จริง ก็อย่าไปเถียง

มองว่าลิเกอิงกับสภาพเศรษฐกิจได้ไหม?

ไม่นะครับ อย่างตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีแต่เราก็มีงานแสดง แต่ถ้าเป็นกรณีรายได้จากคล้องมาลัย ก็จริงครับ แฟนคลับเราบางคนก็มีอาชีพ ถ้าวันนี้มีรายได้น้อย ก็ให้ตามกำลังที่เขามี ซึ่งเราก็ไม่ได้บังคับว่าต้องให้เท่าไหร่

หากไม่นับรวมค่าจ้าง คืนหนึ่งมีรายได้เท่าไหร่?

สำหรับผม คืนหนึ่งได้เป็นหลักพัน ถ้าเล่นในกรุงเทพฯก็หลักหมื่น ได้จากการคล้องมาลัย แต่ไม่ได้จากพวงเดียว เป็นหลายๆ พวงที่ได้รับ คือยังไม่ถึงขั้นคืนละแสน ไม่งั้นก็รวยแล้ว (ยิ้มกว้าง)

ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีกำลังรุกคืบ มีวิธีรับมือหรือเตรียมปรับตัวอย่างไรรึเปล่า?

ก็ยิ่งดีนะครับ ยิ่งเทคโนโลยีกำลังมาก็ยิ่งทำให้ลิเกดูทันสมัยขึ้น เราก็ต้องหยิบมาใช้ด้วย

ต่อไปอาจจะเปลี่ยนฉากมาใช้จอแอลอีดี สามารถเปลี่ยนเป็นถ้ำเป็นอะไรได้เลย มันก็จะยิ่งเพิ่มความมีมิติมากขึ้น คนก็จะมาดูมากขึ้น อีกไม่นานหรอกครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image