ทหารยกเลิกการเชิญตัว’พิชัย’ หลังจากสื่อให้ความสนใจมาก ‘พิชัย’ขอบคุณสื่อมวลชน

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขอขอบคุณสื่อมวลชนเป็นอย่างมากที่กรุณาให้ความสนใจที่ผมถูกเรียกตัว ทหารได้โทรมาวันนี่เวลา 09.15 น. เพื่อขอมารับตัวไป พล.ม.2 เพื่อพูดคุย แต่หลังจากที่สื่อมวลชนทราบและให้ความสนใจ ได้มีนายทหาร พล.ม.2 ยศพันเอกโทรมาแจ้งยกเลิกการเชิญตัว โดยแจ้งว่าเป็นห่วงว่าผมจะไม่เข้าใจผลงานรัฐบาล ที่บอกว่าล้มเหลวไม่มีผลงานไม่ชัดเจน จะส่งวิดีโอผลงานมาให้ดูถ้าไม่เข้าใจให้ถาม ผมก็ตอบกลับไปว่าได้อธิบายชัดเจนแล้วโดยเฉพาะเรื่องนักลงทุนไม่ลงทุน ขนาดสถานทูตญี่ปุ่นมาพบก็ได้มาเล่าสาเหตุที่นักลงทุนญี่ปุ่นไม่ลงทุน ซึ่งเป็นปัญหาร้ายแรง และหาก คสช.ไม่เข้าใจและเห็นว่าตรงไหนผมพูดผิดก็ให้ตอบกลับมา เพราะผมยินดีอธิบาย เนื่องจากที่พูดเป็นความจริง โดยพูดถึงให้ข่าววันที่ 12 พฤษภาคม ทั้งนี้ นายทหารได้บ่นว่าสื่อให้ความสนใจผมตลอดทำให้การมาทำความเข้าใจกับผมยาก เพราะดูเป็นว่าทหารมาข่มขู่มากกว่าทำความเข้าใจ ผมก็ตอบไปว่าเรื่องนี้แล้วแต่สังคมจะมองว่าเป็นการข่มขู่หรือเปล่า โดยทหารขอไม่ให้เอ่ยชื่อ และขอให้ผมให้ข่าวที่ถูกต้อง ดังนั้น ตอบขอขอบคุณสื่อมวลชนอีดครั้งที่ให้ความกรุณากับผม และขอตอกย้ำถึงเสรีภาพของสื่อที่มีความจำเป็นเพื่อประชาชนจะได้ทราบความจริงในทุกด้าน

ข่าวที่อ้างถึง วันที่ 12 พฤษภาคม 2560

“พิชัย” ชี้ 3 ปี แห่งความลำบาก และ ล้มเหลวทุกด้านโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ “แนะ” เร่งเปลี่ยนแปลงและคืนอำนาจให้ประชาชน

นาย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า จะครบ 3 ปี หลังการปฏิวัติแล้ว แต่ ผลงานของ คสช. กลับไม่มีสิ่งที่จับต้องได้เลย มีเพียงแต่คำพูดหรูๆเท่านั้น ความสงบเรียบร้อยที่อ้างถึง ต้องถามว่า ก่อนปฏิวัติ ทหารมีส่วนทำให้เกิดความไม่สงบร่วมกับ กปปส. ด้วยหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าถึงตอนนี้สังคมคงมีคำตอบชัดเจนแล้ว ข้ออ้างที่เข้ามาแก้ปัญหาการทุจริตกลับมีข้อครหาการทุจริตเพิ่มขึ้นอีก อีกทั้งยังมีปัญหาการปิดกั้นเสรีภาพและการแสดงออกของประชาชน แม้กระทั่งความพยายามที่จะควบคุมสื่อและการรับรู้ของประชาชน ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ เยาวชนหัวก้าวหน้าถูกตำหนิและห้ามพูด บางคนถูกจับ ภาพพจน์ของประเทศในสายตาประชาคมโลกตกต่ำสุดขีด โดยเฉพาะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ประชาชนสัมผัสได้มากที่สุด และอยู่ในอันดับแย่สุดในการสำรวจทุกครั้ง ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างหนักโดยเฉพาะประชาชนฐานรากที่รายได้หดหายแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น แถมรัฐบาลยังพยายามจะขึ้นภาษีสารพัด ทั้งนี้เพราะหัวหน้า คสช. และหัวหน้ารัฐบาลไม่เข้าใจเศรษฐกิจ ขาดวิสัยทัศน์ ได้แต่จำเขามาพูด ไม่รู้เลยว่าจะเป็นทั้งไทยแลนด์เฟิร์สต์และไทยแลนด์ 4.0 พร้อมกันไม่ได้ ขนาดประชาชนลำบากกันถ้วนหน้า แต่นายกฯท่องอย่างเดียวว่าเศรษฐกิจดีจากตัวเลขการเจริญเติบโตที่ตำ่ที่สุดในอาเซียน แถมการลงทุนในไตรมาสแรกของปีนี้เหลือเพียง 80,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำมาก ทั้งๆที่รัฐบาลพยายามโปรโมทระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) แต่กลับไม่มีใครมาลงทุน อีกทั้งการที่บีโอไอออกมาบอกว่า 3 ปี คสช มีการลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท เฉลี่ยปีละ 5 แสนกว่าล้านบาท ยิ่งเป็นการประจานความล้มเหลว เพราะ การลงทุน 3 ปีในช่วงปฏิวัติอาจจะน้อยกว่า ช่วง 1 ปีในภาวะปกติ เพราะในปี 2555 มี ยอดขอบีโอไอ กว่า 1.4 ล้านล้านบาทและ ปี 56 มียอดขอบีโอไอ กว่า 1.1 ล้านล้านบาท และการลงทุนจริงมีถึงปีละประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องขอขอบคุณ นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตซุปเปอร์บอร์ดที่ลาออกแล้ว ที่ได้กล้าออกมาบอกในส่ิงที่ผมบอกมาโดยตลอดว่าการลงทุนหดหายและจะเป็นปัญหากับประเทศนี้อย่างมาก ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะฟื้น หากรัฐบาลยังพยายามจะหลอกคนทั้งประเทศรวมถึงหลอกตัวเองด้วย ประเทศไทยจะยิ่งล้าหลัง และประชาชนจะยิ่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนจำนวนมากเริ่มมองไม่เห็นอนาคตของประเทศนี้ ซึ่งอยากให้รัฐบาลเร่งเปลี่ยนแปลงและคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็วก่อนที่ประชาชนจะหมดความอดทนต่อภาวะเช่นนี้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image