ต้องยอมรับว่า “ท่าที” และ “ท่วงทำนอง” ไม่ว่าจะมาจาก”รัฐบาล”ไม่ว่าจะมาจาก “คสช.” ต่อระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ
มากด้วยความระมัดระวัง
เห็นจากการสงบปากสงบคำจาก พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เห็นจากการสงบปากสงบคำจาก พ.อ.วินธัย สวัสดี เห็นจากการสงบปากสงบคำจาก พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์
ไม่เหมือนเมื่อคราว “ท้าวมหาพรหม” แยกราชประสงค์
ไม่เหมือนเมื่อคราวคาร์บอมบ์ บนเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี
ไม่เหมือน 11 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน รวมถึงหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์
3 สถานการณ์นี้ประสานเสียง แนวโน้ม เด่นชัด
แต่กับกัมปนาทอันกึกก้องมาจากห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯมากด้วยความสุขุม
เปี่ยมด้วยคัมภีรภาพ
เป็นฝีมือ “คนเลว” อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุอย่างแน่นอน
เป็นฝีมือ”คนหนักแผ่นดิน”อย่างที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ยืนยันอย่างแน่นอน
แต่ที่สำคัญก็คือ “คนเลว” นั้นเป็นใคร
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ใครคือ “จอมบงการ”ให้คนเลว คนหนักแผ่นดินออกปฏิบัติการ
ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 5 เมษายน บนถนนราชดำเนินกลาง
ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ข้างโรงละครแห่งชาติ ใกล้กับสนามหลวง
แล้วก็บึมที่”ห้องวงษ์สุวรรณ”กลางกทม.
จากบทสรุปของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร.ซึ่งรับผิดชอบคดีโดยตรง
ซิกเนเจอร์สัมพันธ์กับระเบิดเมื่อปี 2550
นั่นก็คือ หน้าห้างเมเจอร์ รัชโยธิน หน้าบก.ทบ.และซอยราชวิถี 26
เป็นระเบิด”การเมือง”เหมือนกับที่”ห้องวงษ์สุวรรณ”
แต่ความเจ็บปวดอย่างยิ่งจากเมื่อปี 2550 กระทั่งในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2560 คือ ยังจับตัวไม่ได้
เป็น”การเมือง”จริง แต่การเมืองจาก”ใคร”