⦁…แม้ว่าขบวนการก่อการร้ายจะปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงในหลายประเทศ อาทิ “อังกฤษ-ฟิลิปปินส์” แต่ “ระเบิด ณ ห้องวงษ์สุวรรณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า” ส่งผลสะเทือนรุนแรงยิ่งต่อความเป็นไปในทุกมิติของสังคมไทย
⦁…ในทางการเมือง ไม่เพียงสะท้อนว่า “ความสงบเรียบร้อย” ที่เชื่อมั่นกันว่า “ตลอดระยะเวลา 3 ปีแห่งการยึดอำนาจ สามารถควบคุมได้ประสบความสำเร็จ” นั้น ก่อเกิดคำถามว่า “แท้จริงแล้วเป็นเพียงการยินยอมพร้อมใจที่จะให้เกิดความสงบมากกว่า” หากคิดจะ “ปฏิบัติการรุนแรง” ฝ่ายที่ต้องการ ยังสามารถทำได้เสมอเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ “โรดแมปที่จะนำพาประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย” ปรากฏเสียงเรียกร้องกันกระหึ่มให้ “เลื่อนออกไป” จนกว่า “บ้านเมืองจะสงบจริง”
⦁…และเมื่อเกิดสัญญาณ “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” ผลต่อเนื่องต่อ “มิติทางเศรษฐกิจ” ยิ่งหนักหน่วง ที่ห่วงใยกันมากเป็น “การลงทุน” ที่กระตุ้นกันหืดขึ้นคอ “ยังไม่ได้ผล” เจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไปอีก อาการ “หงอย” ย่อมลุกลาม ใครเป็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยามนี้ หาก “ไม่คิดเอาอุณหภูมิร้อนแรงทางการเมือง เป็นข้ออ้างในทางที่เป็นอุปสรรคใหญ่” มีแต่ต้องจมอยู่ใน “อาการหายใจไม่ทั่วท้อง” กับ “ความเป็นไปของประเทศ” นับจากนี้
⦁…ในเชิง “สังคม” มีแรงสะเทือนต่อ “ความเชื่อมั่นในจิตสำนึกของเพื่อนร่วมชาติ” สูงยิ่ง เป็นเหตุจาก “การระเบิดในห้องรักษาผู้ป่วย ในโรงพยาบาล” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง “ความเหี้ยมเกรียม ไร้คุณธรรมโดยสิ้นเชิง” ของคนที่ลงมือ อันมีความหมายว่า “บ้านเราตกอยู่ในสภาพสังคมป่วยไข้ระดับสาหัส”
⦁…ใน “มิติของความรับผิดชอบ” กล้องวงจรปิดที่ใช้งบประมาณมากมายลงทุนติดตั้ง แต่พอถึงเวลาที่ต้องอาศัยพึ่งพา กลับกลายเป็น “กล้องเสียจำนวนมาก” กระทั่งตามเบาะแสอะไรไม่ได้ ย่อมสะท้อน “การขาดความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างเหลือเชื่อ” เพราะรู้กันอยู่ว่า “กล้องวงจรปิด” นั้น ควบคุมด้วย “คอมพิวเตอร์” กล้องไหนเสีย แค่ดูจากจอจะรู้ทันที หาก “รู้ว่าเสียแล้วไม่ซ่อม” แสดงว่า “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” ถือว่า “มีความผิด” สมควรอย่างยิ่งจะต้องสืบสาวราวเรื่องว่า “ใครเป็นต้นเหตุ” แต่กลับกลายเป็น “ปล่อยให้ผ่านพ้นไป” เหมือนที่เคยเป็นมาในหลายเรื่องคล้ายๆ กัน แสดงว่าเกิด “วิกฤตในต่อมรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ” แล้ว
⦁…ในมิติของ “ความปรองดอง” ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ สมควรจะต้องสร้างให้เกิดขึ้น เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะทันทีที่เกิดเหตุ แถม “การติดตามหลักฐานยังมีข้อจำกัดเยอะมากในทางสืบสวนสอบสวน” กลายเป็นว่า “ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ” ออกมาสรุป ในเชิง “เป็นความรุนแรงที่เกิดจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง” เหมือนกับเป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความหวั่นไหวว่า “กลไกของรัฐจะอำนวยความยุติธรรมให้ไม่ได้” แน่นอน “ความเป็นธรรมที่ถูกกังขา” ย่อมมีผลให้เกิด “หวาดระแวง” อันเป็นอุปสรรคของ “ปรองดอง”
⦁…ที่สำคัญที่สุด คือ “มิติแห่งความแตกแยก” ซึ่งเป็น “ปมปัญหาใหญ่ขัดขวางการพัฒนาชาติ” ที่ต้องการ “ความสามัคคี พร้อมอกพร้อมใจ” แทนที่จะถูกฉุดรั้งด้วย “ความเห็นต่างที่เกิดจากอคติ” ระเบิดที่ “โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า” ทำให้รับรู้ได้ว่า “อารมณ์แบ่งพรรคแบ่งพวก” คิดในมุม “พวกเอ็ง พวกข้า” ยังอัดอยู่เต็มหัวใจของ “เพื่อนร่วมชาติจำนวนมาก” พร้อมจะระเบิดออกมาให้เห็นชัดเจนในทันทีที่มีแรงกระตุ้น ทั้งที่ “การสืบสวนสอบสวนยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในสาเหตุ” เสียงตะโกน “ฆ่ามัน ล้างมันให้สิ้นแผ่นดิน” ก็ดังขรมขึ้นมา เหมือนถูกเก็บกดไว้นานๆ ถึงเวลาระเบิด จึงน่าเป็น “ความน่าห่วงใยยิ่งต่ออนาคตการอยู่ร่วมกันของคนในชาติ”
ชโลทร