‘Despicable Me 3’ สนุก แสบ ร้าย อย่างน่าคิด

สร้างมามอบความสนุกให้คนดูอย่างต่อเนื่องสำหรับ ‘Despicable Me – มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด’ ที่กลับมาอีกครั้งในภาค 3 โดยที่เรื่องราวในภาคก่อน ชีวิตของ กรู , ลูซี่ และเด็ก ๆ (มาร์โก อีดิธ และแอ็กเนส) กำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่นเปี่ยมสุข แต่คราวนี้ กลับมีอดีตนักแสดงเด็กผู้โด่งดังในยุค 80 แต่ตกอับตอนเติบโตอย่าง บัลธาซาร์ แบรตต์ โผล่มาก่อกวนบ้านเมือง แน่นอนคู่หูสายลับจับวายร้าย กรู และ ลูซี่ ต้องออกไปจับมาให้ได้

แต่ภารกิจนี้สายลับคู่รักเกิดทำพลาด จึงโดนไล่ออกจากงาน ชีวิตที่ดูสวยงาม จู่ ๆ ก็มืดมน และเรื่องก็พลิกผลันอีกครั้ง เพราะกรูกลับได้พบความจริงว่า แท้จริงแล้วเขามีฝาแฝด!
ดรู แฝดผู้น้องที่แตกต่างสุดขั้วกับกรู ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับชวนพี่ชายผู้พลัดพรากกลับเข้าสู่บทบาทการเป็นตัวร้ายอีกรอบ

ว่ากันว่าหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในภาคแรก มักดร็อปลงเมื่อมีภาคต่อ…แต่ไม่ใช่กับ Despicable me อย่างแน่นอน เพราะด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลิน มันส์ไปกับภารกิจสุดลับของตัวละคร บวกกับความอบอุ่นในครอบครัวที่หนังเสนอ ความน่ารักที่เรียกเสียงกรีดร้องจากคนดูได้ตลอดทั้งเรื่อง และที่ขาดไม่ได้ คือความตลกน่าเอ็นดูของกองทัพมินเนี่ยน ที่ไม่ว่าจะออกมากี่ฉากก็ยังเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ไม่เว้น

Advertisement

Despicable me อาจดูเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก รวมถึงการ์ตูนน่ารักของเหล่าแฟนคลับมินเนี่ยน แต่เอาเข้าจริงหนังเรื่องนี้กลับแฝงข้อคิด และภาพความประทับใจเอาไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องครอบครัว

ในภาคนี้หนังจึงยังคงชี้ชัดในประเด็นดังกล่าว ทั้งการที่กรูคันไม้คันมืออยากกลับไปเป็นวายร้าย แต่เมื่อนึกถึงลูกๆเขาก็ทำไม่ลง ส่วนลูซี่ที่ตอนแรกยังรับมือกับเด็กแต่ละคนไม่ถูก แต่เธอก็พิสูจน์ความเป็นแม่ให้เราได้เห็นจากการปกป้องลูกๆในทุกสถานการณ์

ที่สำคัญความรักและผูกพันของกรูกับเหล่ามินเนี่ยนก็ยังเป็นที่กล่าวขาน จะว่าไปกรูก็เป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งของพวกมินเนี่ยนอาจมีกระทบกระทั่ง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ดูแลกันและกันตลอดมา
นิยามของคำว่าครอบครัวจึงอาจไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกันทางสายเลือด หรือต้องเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันเสมอไป

Advertisement

ยังเป็นที่น่าสังเกตอีกว่า ตัวละครวายร้าย บัลธาซาร์ แบรตต์นั้นอาจดูเป็นตัวละครแบนๆ ไม่มีการเติบโตหรือพัฒนาเท่าไหร่ แต่ถ้าเรามองดีๆก่อนที่วายร้ายตัวนี้จะร้ายกาจอย่างที่เห็น เขาคือผู้ถูกกระทำจากสังคมอย่างน่าสงสารคนหนึ่ง

แน่นอนการเป็นคนดังของสังคม ย่อมส่งผลทั้งดีและร้าย ยิ่งเมื่อเป็นดาราแต่เด็ก หลายๆครั้งมักทำให้ชีวิตพวกเขาเปลี่ยนไปทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ จะเป็นดาวรุ่งหรือดาวร่วงก็ขึ้นกับจังหวะชีวิตของแต่ละคน น่าเสียดายที่ บัลธาซาร์ แบรตต์ เป็นอย่างหลัง

การที่เขาโตเป็นวัยรุ่น หน้าตาไม่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างตอนเด็กอีกต่อไป สิวก็ขึ้น เสียงก็แตก จึงทำให้ชื่อดับไปในวงการ โดนผู้คนเมินเฉย แถมบางทียังอาจโดนล้อเรื่องหน้าตาอีกด้วย แล้วสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นปัญหาสังคมในที่สุด และปัญหาของเด็กตัวน้อย ๆ เหล่านี้ ก็กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในภายหลัง

เมื่อโดนกระทำจากสังคม เขาจึงอยากเรียกร้องให้คนหันมาสนใจและเห็นว่า เขามีความสามารถในการทำบางสิ่ง ซึ่งถ้าเขาออกไปทำในสิ่งดี ก็นับเป็นเรื่องดี แต่เมื่อไหร่ที่เขาเลือกทางที่ให้ผลร้ายต่อสังคม
จุดนั้นเองคงจะทำให้ผู้ใหญ่อย่างเรารู้ว่า เราไม่ควรละเลยปัญหาเรื่องของเด็ก เพราะเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้า

‘ดานิกา’

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image