ปูด”เซ็งลี้”เก้าอี้ ตีปี๊บ”ปฏิรูปตำรวจ” วังวนยุทธจักรสีกากี

ปมซื้อขายเก้าอี้ตำรวจเป็นกระแสครึกโครมอีกครั้ง เมื่อ “นายวิทยา แก้วภราดัย”อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ(สปท.) และอดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ออกโรงเปิดประเด็นร้อน มีการซื้อขายเก้าอี้ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค8(บช.ภ.8) เงินสะพัด50ล้านบาท ในการแต่งตั้งรองผู้บังคับการ(รองผบก.)ถึงสารวัตร(สว.) วาระปี 2559 ที่เพิ่งปิดบัญชีไปหมาดๆ

คล้อยหลังเปิดประเด็นได้เพียง1วัน “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) สะบัดปากกา ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 287/2560 ให้ พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) มาช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.)โดยขาดจากตำแหน่งเดิม

พร้อมตั้ง พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) สืบสวนข้อเท็จจริง ภายใน 15 วัน

ไม่เพียงเท่านั้น “นายวิทยา”ยัง เปิดประเด็นต่อเนื่อง ว่า ใน “นครบาล” อัพราคาจากภาคใต้ ถึง 2 เท่า และ มีตัวละคร “พล.ต.ต.” ที่ใหญ่ กว่า “พล.ต.อ.”

Advertisement

แต่คราวนี้ดูเหมือน”บิ๊กแป๊ะ”จะไม่เออออด้วย พร้อมส่งซิกให้ “เดอะแป๊ะ”พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กล่าวหาแบบเลื่อนลอย ขณะที่พล.ต.ท.ศานิตย์ พูดชัดเจนว่า “ถ้าใครมาพูด พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เรื่องแต่งตั้งโยกย้าย จะฟ้องร้องให้ดู”

และข่าวปูดซื้อขายเก้าอี้สะเทือนวงการสีกากีครั้งนี้ ถูกโหนกระแสด้วยการตีปี๊บ”ปฏิรูปตำรวจ”ทันที!!

ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 ยุทธจักรสีกากี ต้องสูญเสีย “จ่าเพียร” วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา (ในขณะนั้น)จากเหตุโจรใต้ลอบวางระเบิดรถ

Advertisement

พ.ต.อ.สมเพียร เสียชีวิต หลังจากเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น)เกี่ยวกับการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ได้ไม่นาน

ครั้งนั้น “จ่าเพียร” ขอย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่สภ.กันตัง จ.ตรัง ในวันที่เหลืออายุราชการเพียงแค่1ปี หลังรบจนล้า ในพื้นที่ชายแดนใต้ตลอด40ปี แต่จนแล้วจนรอดเสียงเรียกร้องของ ผกก.คนหนึ่งก็ไร้ผล

“ผมอยากกลับบ้านให้ลูกและภรรยาสบายใจในช่วงสุดท้ายของชีวิตราชการ แม้จะให้ยศพล.ต.อ.ผมก็ไม่อยากได้ ถ้าหากกลับบ้านแบบมีธงชาติคลุม”จ่าเพียร หลั่งน้ำตาระหว่างเข้าร้องเรียน เขาบอกว่าการแต่งตั้งครั้งนั้น เป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบมา

และนั่นคล้ายเป็นลางบอกเหตุ ไม่มีใครคาดคิดว่าคำพูดนั้นจะเป็นจริงในอีกไม่ถึง1เดือนต่อมา!!

การเสียชีวิตของ”จ่าเพียร”กระทุ้งตรงๆเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ร้อนถึง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผบ.ตร.(ในขณะนั้น) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความบกพร่องในการแต่งตั้ง โดยให้พล.ต.ท.เอก อังสนานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร.(ในขณะนั้น) รับหน้าเสื่อเป็นประธานตรวจสอบ

ขณะเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ ตั้งให้พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธานกรรมการสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ส่อไปในทางทุจริตและไม่เป็นธรรมหลายประการ

มีการสอบสวนในพื้นที่ที่มีเรื่องร้องเรียน ทั้ง บช.ภ.1 บช.ภ.2 บช.ภ.3 บช.ภ.4 บช.ภ.6 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) และหน่วยขึ้นตรงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ชูธง“ปฏิรูปสีกากี” โดยตั้งพล.ต.อ.วสิษฐ เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ

โดยคณะกรรมการฯชุดนี้ เคยเสนอประเด็นพัฒนาระบบงานตำรวจไว้10ประเด็น 1.กระจายอำนาจการบริหาร มีแนวคิดยกฐานะบช.ภ.1-9 และบช.น. ให้เสมือนนิติบุคคล เพื่อความคล่องตัว ขณะที่ผบ.ตร.มีอำนาจกำกับดูแล แต่ไม่สามารถลงไปก้าวก่ายหน่วยงานระดับบช.และกองบังคับการ(บก.)ได้

2.การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานตำรวจ เช่น เพิ่มองค์กรภาคประชาชนเข้าไปในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) ตั้งสำนักงานพัฒนาระบบงานตำรวจ 3.สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ โดยการตั้งคณะกรรมการอิสระรับเรื่องราวร้องทุกข์

4.ถ่ายโอนภารกิจที่ไม่ใช่ของตำรวจไปยังหน่วยงานอื่น 5.การปรับปรุงพัฒนาระบบงานสอบสวน 6.ปรับปรุงการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ 7.พัฒนากระบวนการในการสรรหา ผลิต และพัฒนาบุคลากรตำรวจ เช่น ยกระดับตำรวจชั้นประทวนจากวุฒิการศึกษา ม.6 เป็นอนุปริญญา แต่ขณะนี้ ตร.ได้ยกระดับตำรวจชั้นประทวนรับใหม่ต้องจบปริญญาตรี

8.การปรับเงินเดือน ค่าตอบแทนและสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ 9.ส่งเสริมความก้าวหน้าของตำรวจชั้นประทวน และ10.การจัดตั้งหน่วยงานในการปรับปรุงพัฒนากระบวนการยุติธรรม

ผ่านมา7ปี การตีปี๊บ“ปฏิรูปตำรวจ”ที่เกิดจากวัฏจักรการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม วนเวียนกลับมาอีกครั้ง ที่สำคัญการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้ ถูกบังคับและตีกรอบ ไว้ใน”รัฐธรรมนูญ60”

หมวดที่16 การปฏิรูปประเทศ ง.ด้านกระบวนการยุติธรรม (2)ปรับปรุงการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม กำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ชัดเจนเพื่อมิให้คดีขาดอายุความ และสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการสอบสวนคดีอาญา รวมทั้งกำหนดให้การสอบสวนต้องใช้ประโยชน์จากนิติวิทยาศาสตร์ และจัดให้มีบริการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์มากกว่าหนึ่งหน่วยงานที่มีอิสระจากกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างมีทางเลือก

และไฮไลท์ใน (4)ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งและโยกย้าย และการพิจารณาบำเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน

จากโมเดลซื้อขายเก้าอี้ ถึงปฏิรูปตำรวจ ที่คลับคล้ายเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ ระลอกนี้ จึงน่าจับตา!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image