“กสทช.”แจงผลตรวจซิมแก๊งค์ปั่นยอดไลค์พบเป็นของเอไอเอส-ทรูมูฟเอชมากสุดเตรียมส่งข้อมูลให้ตำรวจสัปดาห์หน้า

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบของกลางกรณีที่มีการบุกจับชาวจีนจำนวน 3 คน ที่จังหวัดสระแก้ว พร้อมไอโฟน 500 เครื่อง และซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 315,282 ซิม เพื่อรับจ้างเพิ่มยอดไลค์และยอดแชร์บนโซเชียลมีเดีย โดยจากการตรวจสอบพบว่าเป็นซิมการด์ของเอไอเอส จำนวน 105,485 ซิม ซึ่งเป็นซิมการ์ดที่สามารถใช้งานได้จริง 6,650 ซิม โดยมีการลงทะเบียนสูงสุดต่อคนที่ 413 ซิม, ดีแทค จำนวน 104,339 ซิม ซึ่งเป็นซิมที่ใช้งานได้จริง 42,471 ซิม มีการลงทะเบียนสูงสุดต่อคนที่ราว 500 ซิม และ ทรูมูฟเอช มีซิมการ์ดจำนวน 105,485 ซิม เป็นซิมการที่สามารถใช้งานได้ 9,777 ซิม มีการลงทะเบียนสูงสุดต่อคนที่ 2,972 ซิม ทั้งนี้ กสทช. ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อต่อสาธารณะ เนื่องจากต้องดำเนินการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่คาดผู้ลงทะเบียนเปิดใช้งานไม่ใช่ผู้นำไปก่อนเหตุแต่เป็นผู้ขายรายย่อย หรือ ลูกตู้

นายฐากรกล่าวว่า จากรายงานของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังพบด้วยว่าพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดรายดังกล่าวได้มีการซื้อซิมการ์ดจากพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในลักษณะทยอยซื้อมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงมีการนำมาใช้งานไม่ได้เพื่อเพิ่มยอดไลค์ยอดแชร์แต่เพียงอย่างเดียว ในช่วงแรกๆยังมีการใช้งานในลักษณะการรับจ้างส่งเอสเอ็มเอสโหวตรายการแข่งขันทางโทรทัศน์ต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าจึงมีซิมการ์ดจำนวนมากที่ไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ กสทช. จึงมีคำสั่งไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย โดยขอให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จัดการรายละเอียดพฤติกรรมใช้งาน อาทิ ใครเป็นคนซื้อหาซิมการ์ด และลงทะเบียนโดยใคร เป็น ในรูปแบบเอกสารที่ชัดเจน เพื่อนำส่งยังสถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ ภายในสัปดาห์หน้า และขอให้แจ้งเตือนผู้ค้ารายย่อยของตนเองทุกรายว่าหากมีการลงทะเบียนแทนลูกค้า และมีผู้เอาซิมการ์ดชื่อตนเองไปกระทำความจะมีความผิดคนแรก

นายฐากร กล่าวว่า นอกจากนี้จากการที่ กสทช. ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบของกลางที่สถานีตำรวจอรัญประเทศ ทาง กสทช. ได้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มแก่ผู้กระทำความผิด ในข้อหานำอุปกรณ์โทรคมนาคมมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีความปิดตาม พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม พ.ศ.2498 และ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ซึ่งจะมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท โดยผู้กระทำความผิดได้ให้การว่าได้สั่งซื้อและจัดส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งหลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะไปดำเนินการสอบสวนที่มาของผู้ขายอุปกรณ์ดังกล่าวต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image