เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่เรียกว่า ‘โค้ชชีวิต’ : กล้า สมุทวณิช

เรื่องนี้เริ่มต้นจากที่คลิปวิดีโอโฆษณาประชาสัมพันธ์หลักสูตรแนว “ปลดล็อกชีวิต พิชิตกรรมเก่า” ของวิทยากรและนักเขียนชื่อดังถูกส่งต่อกระจายกลายเป็นไวรัล

ด้วยความ “แปลกตา” แบบ “ไปสุดทาง” ของภาพและเสียงที่แสดงบรรยากาศของการอบรมในหลักสูตรนั้น ประกอบกับเรื่องราวตัวตนของวิทยากรผู้จัด ผสมด้วยท่าทีทั้งตอบรับและปฏิเสธ และ “ดราม่า” ของผู้คนที่ปรากฏตัวในคลิปวิดีโอ เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้ชาวเน็ตและสื่อมวลชนไปสืบค้นลากดึงเอาเรื่องของการจัดอบรมหรือสัมมนาของวิทยากรท่านนั้นออกมานำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์กันในทุกแง่มุม

ทุกแง่มุมนั้นก็เป็นเหตุให้คำว่า “การโค้ช” และ “โค้ชชีวิต” ถูกนำขึ้นมาเป็นที่สนใจตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไปด้วยพร้อมกัน

“โค้ชชีวิต” คืออะไร อธิบายได้ว่า คือแนวคิดที่เชื่อว่าบุคคลสามารถประสบความสำเร็จ แก้ปัญหาชีวิต หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นคนละคนไปเลยก็ได้ หากสามารถดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขาออกมาให้ได้เต็มที่ รวมถึงการปลดล็อกคลายปมในจิตใจที่ขัดขวางความสำเร็จ ผ่านการให้คำแนะนำจากบุคคลที่รู้เทคนิควิธีการดังกล่าวที่เรียกว่า “โค้ชชีวิต” (Life Coach) ซึ่งเป็น “ศาสตร์” ที่มีการศึกษาเล่าเรียนกันเป็นระบบ มีการสอบใบอนุญาตเป็นโค้ชชีวิตกันในระดับสากล

Advertisement

ส่วนวิธีการโค้ชนั้นจะเป็นการให้ผู้เข้ารับการโค้ชนั้นสะท้อนตัวตนออกมาผ่านวิธีการทางจิตวิทยาที่โค้ชชีวิตจะใช้วิธีการตั้งคำถามเพื่อค้นหาตัวตนของผู้เข้ารับการโค้ช เมื่อผู้มาโค้ชได้รับคำตอบถึงตัวตนของตัวเองแล้ว ก็จะนำไปสู่วิธีการเยียวยาบำบัดหรือการดึงพลังและศักยภาพของตัวผู้เข้ารับการโค้ชนั้นออกมา

หลักการที่เป็นเหมือนหัวใจของกระบวนการนี้มีอยู่ว่า “ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตัวตนภายในของคุณได้ โลกภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน”

เครื่องมือสำคัญที่นิยมใช้กันในการโค้ชก็ได้แก่ การสื่อสารกับระบบประสาท หรือ NLP (Neuro-Linguistic Programming) อธิบายง่ายๆ ก็คือการสื่อสารกับตัวเองถึงระดับจิตใต้สำนึกเพื่อใส่โปรแกรมจิตของเราใหม่ว่า เราเป็นคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จ มีความสุข มีความมั่งคั่ง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รัก ซึ่งแนวคิด
นี้ก็ไปกันได้กับหลักการ “กฎของแรงดึงดูด” (Law of Attraction) และการ “คิดบวก” ที่เชื่อว่าคนเราจะได้รับหรือเป็นไปตาม “ความคิด” หรือ “ความคาดหวัง” ของเราเอง เช่น ถ้าเราคิดถึงความร่ำรวยหรือเงินทอง ความคิดนั้นก็จะดึงดูดเงินทองและความร่ำรวยมาให้เรา ซึ่งแนวคิดแบบนี้ในบางสำนักนั้นไปไกลถึงขนาดเชื่อว่าความคิดของคนเรานั้นเชื่อมต่อกับ “จักรวาล” “พระเจ้า” “โชคชะตา” หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งสุดแต่จะเรียกที่มีอำนาจเหนือเรา สามารถประทานสิ่งต่างๆ ให้เป็นจริงได้ตามความคิดของเรา

Advertisement

นอกจากนี้ สำหรับบางคนที่มี “ความคิดลบ” หรือ “ปมชีวิต” บางอย่างมาขัดขวางการดึงพลังหรือศักยภาพ ผู้เป็นโค้ชก็จำเป็นจะต้องทำการ “ล้าง” พลังลบและคลายปมเหล่านั้นก่อน ด้วยพิธีกรรมที่เรียกว่าการ “ทรานซ์” (Trance) ด้วยวิธีการที่คล้ายการสะกดจิตให้เข้าสู่ภาวะดำดิ่ง เพื่อการค้นหาและสำรวจปมปัญหาที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ อันเป็นต้นเหตุแท้จริงที่คอยรบกวนการมีความสุขในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อกันว่าต้นตอของคนส่วนใหญ่มาจากบาดแผลของการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ในวัยเยาว์ หลักสูตรเหล่านี้จึงมักจะมีกระบวนการที่จะทำให้ผู้เข้าสัมมนาหรือรับการโค้ชนั้นปลดปล่อยบาดแผลนั้นด้วยการให้อภัยกับพ่อแม่ของตัวเองเพื่อนำไปสู่การปลดล็อกปมปัญหาในชีวิตด้วย

ภาพบางส่วนในคลิปวิดีโอที่เป็นกระแสกล่าวขวัญ เช่น อากัปกิริยาของคนที่ร้องไห้ตัวสั่นตัวโยนที่ได้เห็นกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “ทรานซ์” ที่ว่านี้เอง และภาพที่แสดงให้เห็นหมู่ผู้คนที่กระโดดโลดเต้นอย่างแสดงถึงความสุขที่ดูล้นเกินระดับของผู้คนทั่วไปนั้น ก็คือการปลุกใจตัวเองหลังจากการปลดล็อกตัวเองจากอดีตที่ขมขื่นได้แล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการนำโปรแกรมสิ่งใหม่ลงไปในจิตใต้สำนึกว่า เราเป็นคนใหม่ที่ประสบความสำเร็จและกำลังจะมีความสุขความมั่งคั่ง

ต้องยอมรับว่าการนำภาพระหว่างประกอบ “พิธีกรรม” ในการทรานซ์ก็ดี การปลุกพลังบวกตัวเองก็ตาม ออกมาเผยแพร่ต่อสื่อสาธารณะนั้นเป็นดาบสองคม ด้วยว่ามันเป็นกิริยาสภาวะที่ออกจะดู “แปลกตา” สำหรับคนทั่วไปให้ชวนนึกขยาดหวาดระแวงว่าเหมือนการสะกดจิตหรือสร้างอุปาทานหมู่ ประกอบกับสนนราคาค่าใช้จ่ายในการพาตัวเข้าไปรับ “บริการ” นั้นก็สูงอยู่ในระดับหลักหมื่น อัตราเฉลี่ยของการไปเข้าสัมมนาแบบเป็นหมู่คณะกับโค้ชหรือวิทยากรผู้มีชื่อเสียง อยู่ที่ประมาณสองหมื่นถึงห้าหมื่นบาท แต่ถ้าจะ “โค้ช” แบบตัวต่อตัว ก็มีอัตราว่ากันตั้งแต่ห้าหมื่นถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว

ประเด็นเรื่องราคาค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรมนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนภายนอกที่ไม่เลื่อมใสอยู่แล้ว ยิ่งมองไปในทางว่า แท้แล้วการโค้ชหรือการสัมมนาแบบนี้เป็นการหาประโยชน์แบบง่ายๆ จากคน “จิตอ่อน” ที่มีปัญหาในชีวิตหรือไม่

กลายเป็นว่าคนเข้ารับการโค้ชหรือเข้าอบรมนั้นจะร่ำรวย มีความสุข ประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น
ยังไม่รู้ ที่แน่ๆ โค้ชหรือวิทยากรนั้นร่ำรวยนำหน้าไปก่อนแล้ว

ถ้ามองอย่างพยายามทำความเข้าใจ การไปรับการโค้ชก็เป็นเหมือนการบำบัดทางจิตส่วนบุคคลด้วยวิธีการแบบหนึ่ง ที่มีทั้งส่วนที่เป็น “ศาสตร์” และส่วนที่เป็นความเชื่อซึ่งยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลสามัญ เช่น หลักการ NLP ก็ยังถือเป็นวิทยาศาสตร์เทียม (Pseudoscience) หรือแม้แต่เพียงใช้ศัพท์สแลงให้ฟังดูคล้ายๆ กับวิทยาศาสตร์ อย่างเรื่อง “กฎของแรงดึงดูด” แต่ถ้าจะถือว่าเป็นเรื่องของความเชื่อหรือความสมัครใจส่วนบุคคลก็น่าจะได้

แล้วอะไรทำให้การโค้ช การบำบัดจิต หรือสร้างแรงบันดาลใจแนวนี้ได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้

มีข้อสังเกตว่า การเติบโตของวงการโค้ชชีวิตและการสัมมนาเพื่อพัฒนาตัวเองหรือปลดล็อก
ชีวิตนี้ เติบโตแพร่หลายขึ้นมาเคียงคู่ไปกับกระแสการ “ลาออกเพื่อจะรวย” หรือแนวคิดแบบ “งานไม่ประจำทำเงินกว่า” และแนวคิดการสร้างรายได้เชิงดอกผล หรือ Passive income เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินที่จะนำมาซึ่งอิสรภาพในชีวิต อันตอบสนองกับแนวทางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีความผูกพันกับองค์กรหรือการทำงานประจำน้อยลง มีอิสระในตัวเองสูงขึ้น เชื่อเรื่องการทำงานน้อยได้ผลตอบแทนมาก มีค่านิยมการเร่งสร้างทุนและสินทรัพย์แล้วปล่อยพวกมันทำงานแทนให้ เพื่อตัวเองจะสามารถไปใช้ชีวิตได้อย่างที่อยากใช้จริงๆ ไม่ใช่การอุทิศชีวิตเพื่อการทำงานไปจนถึงวันเกษียณอายุแล้วค่อยพักผ่อนหาความสุขเหมือนคนรุ่นก่อน

การประสบความสำเร็จในอุดมคติเช่นนี้ไม่ใช่เป็นไปได้โดยง่าย ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากระบบการศึกษานั้นไม่สามารถตอบสนองความสำเร็จในลักษณะนี้ได้ หลักสูตรสัมมนาแนะแนวทางรวยประเภท “รวยด้วยหุ้น” “มั่งคั่งด้วยคอนโดฯ” หรือแม้แต่ “เขียนหนังสืออย่างไรให้ได้เงินล้าน” จึงผุดขึ้นมารองรับความต้องการในชั้นแรกนี้

แต่เท่านั้นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้เข้าสัมมนาหรือได้รับองค์ความรู้เดียวกันนั้นจะสามารถประสบความสำเร็จร่ำรวยกันได้ทุกคน สำหรับคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวัง ก็ยังมีคำถามว่าตัวเองยัง “ขาด” หรือยัง “ติด” อยู่ตรงไหน รวมถึงคนที่อาจจะประสบความสำเร็จในเรื่องการงานหรือเงินทองแล้ว ก็ยังมีบ้างที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขเต็มที่กับชีวิต ยังมีปัญหาความรักและความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวคล้ายว่ามีอะไรบางอย่างที่ขัดขวางเอาไว้

ตรงนี้เองที่ “โค้ชชีวิต” และหลักสูตรอบรมสัมมนาเพื่อ “ปลดล็อก” ชีวิตก็จะเข้ามาตอบสนองรองรับความต้องการ หรือสิ่งที่ยังขาดหายไปได้อย่างลงตัวพอดี ซึ่งเป็นความต้องการในส่วนที่ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาเข้าไปไม่ถึง

เพราะการบำบัดหรือแก้ปัญหาทางจิตใจตามวิธีทาง “วิทยาศาสตร์” ด้วยการไปพบจิตแพทย์นั้น อาจจะช่วยให้ความเครียดหรือปมปัญหาทางจิตใจนั้นทุเลาลงบ้างด้วยคำปรึกษาหรือยา แต่การพบจิตแพทย์นั้นไม่ได้ให้ “ความหวัง” ว่าเราจะมีชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร คงไม่มีจิตแพทย์รายใดสัญญาว่ารักษาแล้วคุณจะรวยขึ้น หรือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่คุณรัก หรือประสบความสำเร็จในชีวิต

ส่วนการหันหน้าเข้าหาศาสนานั้น สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องที่สูงส่งห่างไกลเกินไป เพราะความพ้นทุกข์ของศาสนานั้นเป็นการพ้นทุกข์เชิงจิตวิญญาณ หรือความหวังที่ศาสนามอบให้ก็เป็นความหวังสำหรับชีวิตใหม่ในโลกหน้า ยิ่งคำสอนในทางพุทธศาสนาที่ให้สละละทิ้งซึ่งกิเลสตัณหาความอยากได้ใคร่ดีด้วยแล้ว ยิ่งสวนทางกับความต้องการความมั่งคั่งร่ำรวยแบบเดินกันคนละทาง

แต่จะให้พึ่งพาไสยศาสตร์เซ่นไหว้บนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาเครื่องรางของขลัง หรือไปสังกัดกับลัทธิศาสนาบางสายที่มีคำสอนให้ทุ่มเททำบุญเพื่อความร่ำรวยหรือความสำเร็จแบบตรงไปตรงมา การที่ได้รับการศึกษาและอยู่ในสังคมที่มีจริตทางศาสนาและความเชื่อแบบสมัยใหม่ก็จะรู้สึกต่อต้านในใจว่าเป็นเรื่องงมงายหรือพุทธพาณิชย์ฉาวโฉ่ อันยากต่อการทำใจยอมรับนับถือได้

การไป “โค้ช” หรือเข้าร่วมกลุ่มสัมมนาในแนวนี้ จึงสามารถตอบสนองความต้องการเชิงจิตใจได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจว่ากำลังสมาทานตัวเข้าสู่ลัทธิศาสนาหรือไสยศาสตร์ ด้วยคำอธิบายที่ใกล้เคียงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์อันฟังดูมีเหตุมีผลมากกว่า เหมือนที่ยอมรับและเข้าใจได้กับการสั่งจิตใต้สำนึกของเราผ่านวิธีการ “NLP” หรือเชื่อมต่อจิตเราเข้ากับ “พลังจักรวาล” หรือ “กฎแห่งแรงดึงดูด” ได้สนิทใจกว่าไปบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเดียวกัน และการจ่ายเงินเป็นค่าโค้ชหรือการสัมมนาก็เป็นการจ่าย “ค่าบริการ” แบบต่างตอบแทนเยี่ยงธุรกิจมืออาชีพ ไม่เหมือนการทำบุญเพื่อหวังร่ำรวยอันโจ่งแจ้งตามแนวทางพุทธพาณิชย์ที่ชวนพิพักพิพ่วน

ความลงตัวทั้งหลายนี้เองทำให้แนวทางของการ “โค้ชชีวิต” หรือสัมมนาเพื่อปลดล็อกชีวิตสร้างความสำเร็จและความมั่งคั่ง จึงเป็นที่พึ่งแบบใหม่ในทางจิตใจให้แก่ผู้คนที่อาจจะไม่ได้หวังการหลุดพ้นหรือชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ถึงโลกหน้า ไม่ได้ต้องการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง หรือความหวังที่จะมีชีวิตอันประเสริฐในสัมปรายภพ
หากต้องการเพียงแค่การปลดล็อกตัวเองจากกองทุกข์หรือปมปัญหาบางประการที่กัดกินอยู่ในจิตใต้สำนึก และมีพิธีกรรมหรือวิธีการที่สร้างความหวังถึงชีวิตที่มั่งคั่ง ประสบความสำเร็จ มีคนที่รัก มีความสุขตามค่านิยมในสังคมทางโลก

เป็นรูปแบบของการยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่อาจจะมาทำหน้าที่ต่าง “ศาสนา” สำหรับคนรุ่นต่อไปก็ได้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image