สนช.ข้องใจผลประโยชน์ทับซ้อน หลังพบบิ๊กขรก.แห่นั่ง บอร์ดรัฐวิสาหกิจ-เอกชนพรึบ!

“สนช.” ตั้งกระทู้ถามรัฐ ข้องใจ “บิ๊กขรก.” นั่งบอร์ด “รสก.-เอกชน” หวั่นผลประโยชน์ทับซ้อน ขณะที่ “รมช.คลัง” แจง กฎหมายเปิดช่องเป็นได้ ยัน “นายกฯ” ไม่ละเลย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มีนาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช.เรื่อง ปัญหาข้าราชการระดับสูงที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในองค์การของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจได้รับผลประโยชน์ทับซ้อนจากบริษัทเอกชน ที่ถามนายกรัฐมนตรี ซึ่งมอบหมายให้นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ตอบกระทู้แทน โดยนายวัลลภ กล่าวว่า การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ ในองค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ หรือ เป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งใดแห่งหนึ่ง มักจะเป็นบริษัทที่มีความเกี่ยวพันกับการได้ผลประโยชน์จากองค์การของรัฐ หรือ รัฐวิสาหกิจที่ข้าราชการระดับสูงผู้นั้นดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น คณะกรรมการปิโตรเลียม คณะกรรมการบริหารบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือบอร์ด ปตท. คณะกรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นต้น

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า จึงเป็นที่วิจารณ์ว่าข้าราชการเหล่านี้มีปัญหาเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน”โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูงที่ไปเป็นคณะกรรมการด้านการเงินหรือด้านพลังงานบางราย และยังเป็นกรรมการของบริษัทเอกชนที่ดำเนินกิจการด้านพลังงาน จึงมีความสงสัยว่า กำไรจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นมีผลโดยตรงต่อเบี้ยประจำเดือน เบี้ยประชุมและโบนัสของกรรมการ ซึ่งถือเป็นรับประโยชน์หรือผลตอบแทนจากบริษัทเอกชน เป็นการขัดกับหลักธรรมาภิบาล จึงขอถามว่า ข้าราชการระดับสูงนี้ที่ไปดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในองค์กรหรือรัฐวิสาหกิจ หรือผู้บริหารบริษัทเอกชน มีมากน้อยเพียงใด เกิดปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ และรัฐบาลมีแนวทางหรือนโยบายที่จะป้องกันหรือแก้ไขปัญหาอย่างไร

ด้านนายวิสุทธิ์ ชี้แจงว่า การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการต่างๆ ในองค์การหรือรัฐวิสาหกิจเป็นไปตาม พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2550 ซึ่งยอมรับมีช่องว่างหรือช่องโหว่ แต่ไม่ได้ผิดกฎหมายเพราะได้เปิดช่องว่างไว้ เช่น คนที่จะเป็นกรรมการในบริษัทลูกหรือบริษัทคู่สัญญา ของรัฐวิสาหกิจนั้นคนที่ไปนั่งต้องได้รับมอบหมายคณะกรรมการจากบริษัทแม่ ในเรื่องที่ข้าราชการระดับสูงไปทำหน้าที่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทลูกนั้นมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อปี 2539 ระบุว่า รัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรของรัฐต้องมีระบบควบคุมเพื่อให้รัฐวิสาหกิจนั้นดำเนินการสนองประโยชน์และนโยบายของรัฐ การตั้งคนไปเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นเป็นวิธีการควบคุมอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นกรรมการตามกฎหมายหรือการแต่งตั้งจึงมี 2 บทบาท คือ เป็นกรรมการบริหารและเป็นการปฏิบัติงานควบคุมการบริหารของรัฐวิสาหกิจ ถือเป็นการควบคุมกำกับด้วย

Advertisement

นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ความสำคัญในการกำกับรัฐวิสาหกิจซึ่งมีทรัพย์สินใกล้เคียงกับจีดีพีของประเทศ โดยได้เข้ามากำกับและดูแล เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เห็นว่ามากเกินไปก็ได้มีการปรับลดให้เข้ากับภารกิจของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ และยังเข้าไปดูเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใส การจัดซื้อจัดจ้าง นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) ได้มีการยกร่างพ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจหรือโฮลดิ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งร่างดังกล่าวจะมีการแยกแยะหน้าที่ นโยบาย การบริหารงาน ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ทับซ้อนชัดเจน มีกระบวนการสรรหาคณะกรรมการ ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่มีนักการเมืองเข้ามาเป็นกรรมการ แต่ในร่างนี้มีกรรมการสรรหาเพื่อให้ได้กรรมการที่เหมาะสมไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image