เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารใบหยก 1 เขตราชเทวี ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยอาคารสูงภายหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารเกรนเฟลล์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่า ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีอาคารสูงเกิน 23 เมตร (ม.) หรือมากกว่า 8 ชั้นขึ้นไป จำนวน 2,810 อาคาร แบ่งเป็นอาคารที่สร้างก่อนประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2535 จำนวน 1,033 อาคาร และอาคารที่สร้างภายหลังประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ จำนวน 1,777 อาคาร
“เหตุเพลิงไหม้อาคารเกรนเฟลล์ กรุงลอนดอน ที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ทันท่วงที ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก กทม.ตระหนักถึงปัญหานี้จึงทำการสำรวจอาคารสูงทั้งหมดในภาพรวม ทั้งระบบแจ้งเตือนอัคคีภัย ระบบตรวจจับควัน รวมทั้งป้ายสัญลักษณ์แนะนำแนวทางการปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น หากพบว่ามีจุดบกพร่องจะสั่งการให้สำนักงานเขตแก้ไขในเบื้องต้นทันที หากอาคารใดพบว่าไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ กทม.สามารถสั่งหยุดการดำเนินการ หรือสั่งปิดชั่วคราวได้ ผมจะแจ้งไปยังเจ้าของอาคารสูงทั้งหมดโดยอาศัยความร่วมมือจากสำนักการโยธา สำนักบรรเทาและป้องกันสาธารณภัย และ 50 สำนักงานเขต เพื่อขอให้นำข้อแนะนำ 10 ประการ ที่เกี่ยวข้องการหนีไฟอาคารสูงและมาตรการป้องกันเหตุอัคคีภัยไปติดไว้ที่อาคารสูงทุกแห่งทั่วกรุงเทพฯ” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว
ขณะที่นายนพดล ฉายปัญญา ผู้อำนวยการกองควบคุมอาคาร สำนักการโยธา กทม.กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ากำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอต่อการตรวจสอบอาคารในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่สำนักการโยธาได้จัดแบ่งเจ้าพนักงานให้ออกสำรวจอาคารทั้ง 9 ประเภท ที่อยู่ในข่ายตรวจสอบอยู่เป็นประจำ โดยผู้ตรวจสอบอาคารทั้งหมดจะต้องผ่านการอบรมและสอบจากกรมโยธาธิการและผังเมือง จากนั้นให้ลงตรวจสอบอาคารก่อนจะออกใบรับรองการตรวจสอบอาคาร (แบบ ร.1) หากเห็นควรแก้ไขให้เจ้าของอาคารดำเนินการภายใน 30 วัน และหากยังเพิกเฉยจะดำเนินคดีตามกฎหมาย และหากกลับไปตรวจสอบอีกครั้ง พบว่าไม่ยอมแก้ไขจะสั่งระงับอาคารทันที ทั้งนี้ ยังมีการสุ่มตรวจอาคารที่มีความเสี่ยงและอันตรายประจำปี เช่น อาคารบ้านพักอาศัยลักษณะโรงแรม ศูนย์การค้า และได้จัดทำแผนสุ่มตรวจอาคารโรงพยาบาลด้วย
