‘แม็กก้า ชวนชื่น’ อดีตดาราตลกเผยประสบการณ์ติดเหล้าสู่เสพยา จนต้องติดคุก

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่หอศิลปวัฒนธรรรมกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และคณะกรรมาธิการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดงานเสวนาในหัวข้อ “เมาเกลื่อนเมือง เรียนรู้จาก UK” โดยมีนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการบริหารกองทุนและกรรมการสำนัก 1 สสส. นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการงานแผนพัฒนาและนโยบายสาธารณะฯ สคล. นางธิดา ผลิตผลการพิมพ์ บรรณาธิการนิตยสาร Bioscope และผู้ก่อตั้ง Documentaty Club และนายนพรัตน์ คาบสมุทร ผู้มีประสบการณ์ตรงประเด็นแอลกอฮอล์ ร่วมบรรยาย

นายนพรัตน์ หรือ แม็กก้า อดีตดาราตลกจากคณะชวนชื่น และเคยตกเป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติด เล่าประสบการณ์ตรงภายในเวทีเสวนา ว่า เดิมทีได้เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กอายุ 9 ขวบ เป็นตลกเด็กคนแรกของประเทศไทย ใช้ชีวิตกับคาเฟ่และสถานบันเทิงมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อก่อนไม่ได้ชอบดื่มเหล้า จนกระทั่งได้มีโอกาสมาทำเพลง และจำเป็นต้องเข้าหากับสมาคมเพื่อนฝูงต่างๆ ที่ชอบดื่มเหล้า แม้ไม่ได้ชอบดื่มเหล้าแต่ก็ถูกยุยงจากคนรอบข้าง ชักชวนเข้าดื่มเหล้า เมื่อก่อนกินและเที่ยวทุกวันจนเกิดอาการติดเหล้า และมาถึงระยะหนึ่งก็เปิดร้านเหล้าร่วมกับเพื่อน ทำให้ตนเองยิ่งดื่มเหล้าทุกวันเนื่องจากต้องดูแลกิจการ ทำให้ดื่มเยอะขึ้น เมื่อมีงานเข้ามาเกิดส่งผลกระทบต่อตนเองโดยสิ้นเชิง ทั้งอาการนอนดึกต้องตื่นเช้า ดื่มหนักไม่มีสติทำงาน ค่าใช้จ่าย หรับค่าเหล้า หมดไปวันละ 1,000-2,000 บาทต่อวัน ท้ายสุดกิจการร้านเหล้าก็กินเอง ทำให้ธุรกิจไปไม่รอด

นายนพรัตน์ กล่าวอีกว่า ต่อมาถูกชักชวนให้ลองยาเสพติดเพื่อคลายอาการสร่างเมาให้สามารถทำงานได้ ตอนแรกรู้สึกดีเมื่อได้ลอง ทำงานได้อย่างสบาย จนกระทั่งถูกจับกุม ส่วนงานละครที่ตนเองทำเรื่องสุดท้ายคือเรื่องกี่เพ้าทางช่องสาม หลังจากนั้นก็ไม่มีละครอีก ยิ่งทำให้ยิ่งกินเหล้าและเสพยาเสพติดท้ายสุดสู่การจับกุม ส่วนเรื่องของเงินเก็บไม่เพียงแต่นำมาใช้ดื่มเหล้าและยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำไปลงทุนด้านธุรกิจอีกด้วย แต่ท้ายสุดทุกอย่างก็ไปไม่สวย

“คำแรกที่ผุดเข้ามายังหัวตอนถูกจับ คือ หมดอนาคต แต่ภายหลังได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำเวลา 1 ปี 6 เดือน 15 วัน ก็ทำให้ผมคิดว่าคำว่านรกอยู่บนดินมีอยู่จริง ชีวิตอยู่ในเรือนจำไม่สวยหรู ทุกคนนอนรวมกันในห้องเดียว 80 คน ขาก่ายกันไปมา แต่เมื่อผ่านไปสองเดือนก็สามารถปรับตัวได้และใช้เวลาทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ทั้งอาการติดเหล้าและยาเสพติด และสัญญากับตัวเองว่าเมื่อออกไปจะไม่ใช้ชีวิตเช่นนี้อีก ปัจจุบันหลังจากได้รับโอกาส รู้สึกมีความสุขมากขึ้น เมื่อเครียดก็หันมาออกกำลังกาย สวดมนต์และนั่งสมาธิแทน ไม่คิดว่าจะทำได้แต่ประสบการณ์จากห้องขังได้สั่งสอนให้ตนทำได้ อยากฝากถึงเยาวชนรุ่นใหม่ว่า เมื่อมีคนมาตักเตือนขอให้เชื่อไว้ก่อน ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดก็ได้ แต่ขอให้เชื่ออย่างน้อย 50% ก็พอ” นายนพรัตน์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image