สธ.แจงเหตุแก้ ‘กม.บัตรทอง’ ทั้งปม ‘จัดซื้อยา-แยกเงินเดือนบุคลากร’ ล้วนส่งผลต่อปชช.หากไม่แก้ไข

ความคืบหน้ากรณีกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เสนอการแก้กฎหมายบัตรทองเดินหน้าได้ แต่ต้องไม่ใส่ประเด็นเห็นต่าง 5 ข้อ ไม่เช่นนั้นจะมีการเคลื่อนไหวต่อ ประกอบด้วย  1.ไม่เห็นด้วยเรื่องการเพิ่มนิยาม เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพตามมาตรา 3 ที่แก้ไขนิยาม “สถานบริการ” โดยต้องเพิ่มคำนิยาม องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนและภาคเอกชนที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการแสวงหาผลกำไร 2.ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 13 ในการแก้ไของค์ประกอบของบอร์ด สปสช. ที่ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธาน เนื่องจากขัดกับหลักการแยกผู้จัดบริการและผู้ซื้อบริการ   3.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 41 ที่ระบุเพียงได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น แต่เห็นว่าควรต้องเพิ่มเรื่องการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ให้ทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ และเห็นว่าควรเพิ่มผู้ให้บริการเข้าไปในมาตรานี้ด้วย 4.ไม่เห็นด้วยกับมาตรา 46 เรื่องการแยกเงินเดือน เพราะจะมีผลกระทบต่อการกระจายบุคลากร และ 5.มาตรา 48(8) ที่มีการเสนอเพิ่มเฉพาะวิชาชีพและผู้ให้บริการในบอร์ด สปสช. ซึ่งไม่สมดุล

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะกรรมการชุดข้อเสนอการปรับระบบการจัดซื้อยา กล่าวว่า ข้อเท็จจริงในการจัดซื้อยานั้นมาจากกรณีคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)  ทักท้วงว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ไม่มีระเบียบรองรับในการจัดซื้อยา แม้การจัดซื้อยาตรงจุดนี้จะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 4.9  ซึ่งไม่มากโดยเป็นยาในกลุ่มยากำพร้า พวกยาต้านพิษ ยาราคาแพงในกลุ่มยามะเร็งยาหัวใจ ยาวัณโรค วัคซีน และน้ำยาล้างไต เป็นต้น เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ จึงต้องมีการปรับปรุงให้ถูกต้อง  แม้ที่ผ่านมาจะสามารถต่อรองราคายาได้ถูกก็จริง แต่ก็มีข้อที่ต้องปรับปรุง อย่างยาบางตัว แพทย์มองว่าควรใช้อีกตัว เพราะมีเรื่องประสิทธิภาพสูงกว่าเข้ามา แต่ด้วยราคาถูก และถูกกำหนดเอาไว้ทำให้มีข้อจำกัด

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า จึงจำเป็นต้องมีคณะทำงานขึ้นมาวางระบบว่า จะทำอย่างไรให้ถูกระเบียบและสอดคล้องกับความเป็นจริงเรื่องการรักษา ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเห็นว่าปี 2560 ก็ควรให้สปสช.ดำเนินการไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วย แต่ในปี 2561 ต้องวางระบบใหม่ ต้องวางแผนให้การทำงานถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งจริงๆการปรับปรุงใหม่รูปแบบการดำเนินการไม่ได้แตกต่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมาแม้สปสช.จะเป็นผู้ต่อรองราคายา  แต่ในความเป็นจริงต้องร่วมมือกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ทั้งองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กรมต่างๆของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งกรมการแพทย์ในเรื่องข้อมูลกลุ่มยาราคาแพง อย่างยามะเร็ง ยาหัวใจ กรมควบคุมโรค จะเป็นการให้ข้อมูลเรื่องวัคซีน และจะมีคณะกรรมการวัคซีนอีก หรือแม้แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ในเรื่องยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ ทั้งหมดทำงานร่วมกันมาก่อนอยู่แล้ว

“ดังนั้น กลไกการทำงานจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับว่าจะพูดว่าใครทำมากกว่า จึงต้องตั้งกลไกขึ้นมาให้เป็นระบบชัดเจนขึ้น เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันจริงๆ โดย1.การจัดซื้อ ผู้ถือเงิน 2.ซื้อยาอะไร 3.ฝ่ายวิชาการมีข้อมูลว่าต้องซื้อยาชนิดใดที่จำเป็นและเหมาะสม 4.หน่วยบริการเห็นด้วยหรือไม่ว่า หากนำไปใช้จะสอดคล้องกับความเป็นจริง โดยเราต้องวางระบบให้สมดุล ไร้ข้อครหา ที่สำคัญการจัดซื้อยาครั้งนี้จะไม่ใช่แค่ผู้ป่วยบัตรทอง แต่จะมีความร่วมมือจากทั้งกรมบัญชีกลาง และสำนักงานประกันสังคม โรงพยาบาลสังกัดอื่นๆ ทั้งโรงเรียนแพทย์ กรุงเทพมหานคร ฯลฯ เพื่อให้การจัดซื้อยาครอบคลุมผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษา สุดท้ายคนได้ประโยชน์ต้องเป็นประชาชน” นพ.โอภาส กล่าว

Advertisement

ด้านนพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ  กล่าวถึงประเด็นแก้กฎหมายที่มีเรื่องแยกเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุข ว่า ที่ผ่านมากลไกการจ่ายเงิน ตามมาตรา 46(2) ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ให้การผูกเงินเดือนกับงบดำเนินงานไปด้วยกัน โดยมีเหตุผลเพื่อต้องการกระจายบุคลากรและให้หน่วยบริการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้ที่ได้รับนั้น แต่จากการศึกษาที่ปรากฎพบว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเท่าที่ตั้งเป้าไว้  แต่ประเด็นที่มีประสิทธิภาพ คือ การควบคุมจากทางสธ. เรื่องโควต้าการบรรจุ และการอนุมัติการจ้างงานในปัจจุบัน  แต่การผูกเงินเดือนไว้กับงบบริการนั้น ทำให้เกิดภาระของหน่วยบริการ พบว่าหลายแห่งมีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อเวชภัณฑ์ และจ่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ต่ำที่สุด คือ ไม่มีรายได้เหลือเลย โดยมีหลายๆ แห่งได้รับผลกระทบเช่นนี้ เช่น รพ.เกาะกูด,รพ.เกาะพีพี,รพ.ท่าช้าง,รพ.วัดเพลง,รพ.ศรีสังวาลฯ, รพ.สิงห์บุรี,  รพ.อินทร์บุรี หรือโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงแต่อยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรน้อย เช่น รพ.ระนอง, รพ.นภาลัย, รพ.ตะกั่วป่า,รพ.นครนายก,รพ.พระพุทธบาทฯ เป็นต้น

นพ.พิทักษ์พล กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพระบบบริการและไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนในพื้นที่นั้น แม้จะแก้ไขปัญหาโดยปรับเกลี่ยงบประมาณจากหน่วยงาน/หน่วยบริการอื่นๆ มาช่วยให้สามารถจัดบริการได้ แต่ในระยะยาวหน่วยบริการเหล่านี้ก็ไม่สามารถพ้นปัญหาไปได้ นอกจากนี้ การจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 3,100 บาทต่อคนต่อปี ที่รัฐบาลจัดสรรให้รวม 1.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบส่งเสริมป้องกัน งบบริการผู้ป่วยนอก และงบบริการผู้ป่วยใน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้รับงบประมาณประมาณ 1 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดสรรให้กับหน่วยงานนอกกระทรวงสาธารณสุข

Advertisement

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ มีค่าใช้จ่ายในการบริการผู้ป่วยจำนวน 50 ล้านบาท และต้องจัดสรรเงินให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล  12 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 62 ล้านบาท แต่ทางโรงพยาบาลได้รับงบบริการผู้ป่วยนอกจากสปสช. ปีละ 20 ล้านบาท ทำให้ 15 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลประสบภาวะเงินบำรุงโรงพยาบาลลดลงกระทั่งปัจจุบันติดลบร่วม 200 ล้านบาท

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image