เหมือนกับ “ปฏิมา” ของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จะเดินตามรอย 2 ยุค
1 ยุคของรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2501
ขณะเดียวกัน 1 ยุคของรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2520 อันนำไปสู่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521
ภาพของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลอยเด่น
ภาพของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ต่อเนื่องมายังภาพของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ลอยเด่น
เพราะจาก “สฤษดิ์” ก็โยงมาถึง “ถนอม”
เพราะจาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ยาวมายัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
เมื่อ 2 ยุค “ประสาน” เข้าก็ “ยาว”
ถามว่าตอนรัฐประหาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 สมองก้อนโตของ “รสช.” คิดอย่างนี้หรือไม่
ตอบได้เลยว่า “คิด”
หากไม่คิดคงไม่เอา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ มาแสดงบทบาทเป็น อย่างสูงกับ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534”
หากไม่คิดคงไม่ตั้ง “พรรคสามัคคีธรรม”
หลังเลือกตั้งแล้ว นายณรงค์ วงศ์วรรณ ประสบปัญหาเรื่องติด “บัญชีดำ” สหรัฐ
การเข้ามาของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เหมือน “อุบัติเหตุ”
แต่เมื่อดูบทบาทของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ทั้งหลังรัฐประหารและก่อนเลือกตั้ง ก็ต้องยอมรับว่าที่ว่า “อุบัติเหตุ” นั้นไม่ใช่ หากเป็นไปตามแผนในทาง “ยุทธการ” ที่จัดวางเอาไว้
เพียงแต่เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม 2535 กลับไม่เป็นตามแผน
จากรัฐประหาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 มายังรัฐประหารเมื่อ เดือนพฤษภาคม 2557
กติกาจัดวางโดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์
ในตอนแรกเหมือนกับจะมอบบทบาทนี้ให้ นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ แต่ในที่สุด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ก็ต้องออกโรง
สรุปบทเรียนจาก รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 จาก รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 จาก รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
แต่จะรอดปลอดภัยหรือไม่ ไม่นานคงมี “คำตอบ”