บทความ คนไทยได้อะไรกับการลุยโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาล คสช. โดย สมหมาย ภาษี

ในช่วงตลอดปีที่ผ่านมานี้ เราจะได้ฟังเรื่องการสั่งลุยโครงการยักษ์ที่เรียกว่าเมกะโปรเจ็กต์กันอย่างหูดับตับไหม้ ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนเชื่อมระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาค รถไฟฟ้าสีต่างๆ ทุกสีในเมืองหลวง ตามมาด้วยรถไฟทั้งประเภทความเร็วสูงธรรมดา จนถึงสูงมากที่เรียกว่า high speed train ซึ่งได้มีการพูดถึงกันมากในช่วงที่มีรัฐบาล คสช. 3 ปีมานี้ ที่จริงโครงการเหล่านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องวางแผนแก้ปัญหาจราจร คือ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่ง (สนข.) สังกัดกระทรวงคมนาคม ได้ทำการศึกษาโครงการและวางโครงการมา 15 ปีแล้ว ก่อนจะมี คสช.เสียอีก โดยได้ศึกษาเส้นทางที่ควรสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครไว้ทั้งหมด 10 เส้นทาง

มาถึงในช่วงนี้การศึกษาเส้นทางต่างๆ เสร็จค่อนข้างบริบูรณ์ การออกแบบรายละเอียดก็เสร็จเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันการก่อสร้างส่วนที่เป็นรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯก็เสร็จแล้วบางสาย คือ สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง จวนจะเสร็จก็หลายสาย เช่น สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ สายสีเขียวส่วนใต้ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่เสร็จแล้วเปิดแล้วแต่ไม่ค่อยมีคนใช้ก็มีคือสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งโครงการนี้เดิมผลการศึกษาสรุปว่าจะมีผู้โดยสาร 200,000 คน/วัน แต่พอเปิดเส้นทางเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ปรากฏว่ามีผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันแค่ 23,000 คน หรือ 10% ของผลการศึกษา ทำรายได้เพียงวันละประมาณ 500,000 บาท แต่ต้องจ่ายค่าจ้างบริหารให้บริษัท BEM ถึงวันละ 5,000,000 บาท โครงการนี้ท่านทราบไหมครับว่ารัฐบาลไหนอนุมัติเมื่อประมาณ 8-9 ปีที่แล้ว

เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่แล้ว ก็มีการเปิดเผยจาก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ท่านรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจผ่านสื่อหลายฉบับว่า “รัฐบาลจะเร่งผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดรวม 2.4 ล้านล้านบาท ให้เข้าสู่ขั้นตอนการประมูลและลงนามสัญญากับผู้รับเหมาให้ได้ภายในปี 2561 ก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะลงจากตำแหน่ง เพื่อเป็นเครื่องการันตีให้กับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศว่า เดินหน้าโครงการต่างๆ แน่นอน ไม่มีล้มเหลวเหมือนที่ผ่านมา”

โครงการที่กำลังผลักดัน เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง โครงการรถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือ โครงการรถไฟอีก 3 สาย ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง และที่ฮือฮากังขากันมากในขณะนี้คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่หัวหน้า คสช.ชงมาตรา 44 ยกให้บริษัทจีนมีเอกสิทธิ์เหนือกฎหมายไทย นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟทางคู่ทั้ง 5 เส้นทาง ก็จะผ่านขั้นตอนการประมูลจนได้ผู้รับเหมาภายในเดือนสิงหาคมนี้

Advertisement

อุแม่เจ้าโว้ย! สั่งลุยโครงการยักษ์แบบช้างพลายผอมโซตกมันเช่นนี้ จะใช้เงินจากไหนมาลงทุนได้ขนาดนั้น ถ้าตอบว่าเงินมีเพราะรัฐบาลค้ำประกันเงินกู้ทั้งนอกและในประเทศให้ รฟม.ทุกโครงการ แล้วมาคิดต่อว่าจะมีทางเก็บค่าโดยสารมาใช้หนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ยไหวหรือ คำตอบชัดๆ ก็คือ ไม่ไหวแน่ ยิ่งรถไฟฟ้าของไทยทุกสายคิดแต่จะหารายได้จากค่าโดยสาร แต่ไม่เคยคิดหารายได้จากส่วนที่ไม่ใช่ค่าโดยสาร (Non free income) แบบฮ่องกงหรือญี่ปุ่น แล้วผลที่สุดก็ต้องพึ่งรัฐบาลจ่ายทั้งต้นและดอกเหมือนการรถไฟไทยในขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องกู้เงินไปใช้หนี้เงินต้นและจัดงบประมาณอุดหนุนดอกเบี้ยให้ทุกปีไม่รู้จักจบสิ้น

โอ้ย! ไม่อยากจะคิด คิดไปหัวก็จะระเบิด หากจะถามต่อว่า แต่ละโครงการคุ้มค่าทางการเงินไหม? คำตอบชัดว่าลงทุนแบบนี้ไม่คุ้มในระยะ 40-50 ปีแน่ แต่อาจจะคุ้มหลังจากนั้น ไม่คุ้มแล้วจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้? เพราะเงินกู้ยาวๆ หาไม่ได้ นอกจากจะมีการกู้ใหม่มาใช้หนี้เก่าเป็นทอดๆ โดยมีรัฐบาลค้ำประกันไปเรื่อยๆ อ้าว! ถ้าทำอย่างนี้ แล้วโครงการสำคัญในด้านอื่นนอกจากสาขาคมนาคมที่มีมากมาย ไม่ว่าเรื่องชลประทาน เรื่องป้องกันน้ำท่วม เรื่องสาธารณสุขและศึกษา จะมีเงินมาพัฒนากันไหม ขืนคิดมากมีหวังคลุ้มคลั่งแน่ อย่างว่ารัฐบาลนี้และก่อนหน้าที่คิดทำโครงการนี้ ไม่มีรายไหนได้พูดถึงความคุ้มค่าทางการเงินกันเลย

แต่เมื่อพิจารณาจากการเปิดเผยของรองนายกฯสมคิด ที่ว่าโครงการยักษ์ๆ เหล่านี้จะทำอย่างเร็ว อย่างน้อยให้มีการผลักดันให้มีการลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาให้ได้ภายในปี 2561 ก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะลงจากตำแหน่งนี้ ขอกล่าวซ้ำ “อย่างน้อยให้มีการลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาให้ได้ในปี 2561 ก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะลงจากตำแหน่งนี้” ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนคลื่นไส้หน้ามืด ทำท่าจะเป็นลมให้ได้ นี่จะรีบๆ เซ็นเหมือนเป็นเมกะบุฟเฟต์กันอย่างนี้เชียวหรือ โครงการรถไฟฟ้าหลายๆ สายที่เซ็นสัญญากันไปแล้วยังไม่มากพอหรือไง ผู้เขียนไม่เชื่อว่าคนในรัฐบาลไม่ทราบหรือไงว่าไม่คุ้ม ผลตอบแทนทางการเงินต่ำติดดิน ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าในต่างประเทศในสายหนึ่งๆ เขาทำทีละท่อนไปตามการขยายตัวและความหนาแน่นของชุมชน การกระตุ้นแบบนี้เงินส่วนใหญ่ไปอยู่กับต่างประเทศมากกว่าครึ่ง คิดว่าเรื่องแบบนี้ผู้พอมีปัญญาต้องรู้ แล้วอะไรเป็นสิ่งบันดาลใจให้รีบทำในช่วงนี้แบบไม่มีเวลาหายใจกัน

Advertisement

เอาเป็นว่าถ้าหากสามารถทำตามแผนได้ตามที่พูดทุกโครงการ เซ็นสัญญากับผู้รับเหมาทั้งบริษัทญี่ปุ่น จีน และไทยได้ทันภายในปี 2561 ก่อนที่รัฐบาลนี้จะพ้นตำแหน่งในปี 2561 ตามเป้าทุกประการ แล้วคนไทยชาวบ้านชาวช่องและรากหญ้าทั้งหลายจะได้อะไรบ้างครับ?

คำตอบง่ายๆ ชัดๆ ก็คือว่าประชาชนรากหญ้านอกจากไม่มีเงินมาจ่ายค่าโดยสารเพื่อใช้บริการในโครงการเหล่านี้แล้ว ในช่วงที่รัฐบาลจ่ายเงินก่อสร้างลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์เหล่านี้ เงินแทบจะไม่ตกไปถึงรากหญ้าเลย แต่จะตกไปที่บริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 4-5 รายในประเทศ และอีกส่วนใหญ่จะตกไปอยู่กับต่างประเทศผู้ขายอุปกรณ์ เครื่องจักร และวัตถุดิบเพื่อการก่อสร้าง ส่วนสุดท้ายผู้ที่ได้รับประโยชน์คือ สถาบันการเงินที่นั่งรับดอกเบี้ยไปทุกๆ วันจากเงินกู้มากมายที่รัฐบาลค้ำประกันให้

การที่รัฐได้ใช้จ่ายลงทุนไปด้านโครงสร้างพื้นฐานนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์รายได้ประชาชาติ หรือที่เรียกว่า GDP ของประเทศมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจริง เช่น แทนที่ GDP ซึ่งโตปีนี้ 3% ก็จะโตเป็น 3.3% แต่ 0.3% ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนแบบนี้ไม่ได้ไปตกอยู่ที่รากหญ้าของไทย เงินจะไปตกอยู่ที่บริษัทก่อสร้างใหญ่ๆ และผู้ผลิตเครื่องจักร เครื่องมือก่อสร้างในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเขาใช้บริษัทออกแบบก่อสร้าง บริษัทคุมงาน ระบบและอุปกรณ์สัญญาณ ตัวราง และตัวรถไฟพร้อมตู้โดยสารของจีนทั้งหมด ดังเช่นโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ที่จะเหมาให้จีนไปดำเนินการด้วยมาตรา 44 นั้น ไทยเราจ่ายเงินไปเท่าใด ก็ตกเป็นรายได้เข้าจีนไปเกือบหมด รายได้ที่เข้าจีนจะไปสร้างตัวทวีคูณเกิดเป็นรายได้ของจีนเพิ่ม 3-4 เท่า ตั้งแต่ปีที่ไทยเริ่มจ่ายเงินให้จีนทำโครงการ ส่วนไทยเงินที่จ่ายไปแต่ละปีจะไม่ก่อให้เกิดรายได้ทวีคูณแก่คนไทยเลย จะมีพวกใช้แรงงานจับกังบ้าง ไว้ขนเศษดินเศษปูน ก็เป็นพวกแรงงานต่างด้าวจนๆ รอบบ้านเราอีก ประเทศไทยจะเกิดรายได้ประชาชาติจริงๆ จากการลงทุนในโครงการแบบนี้ก็อีก 6-7 ปี เมื่อโครงการแล้วเสร็จเท่านั้น ดังนั้น ขออย่ามาคุยเลยว่าจะเร่งทำโครงการแบบนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่ครับ นอกจากการกระตุ้นราคาที่ดิน 2 ข้างทาง ซึ่งนายทุนหรือนักการเมืองไปกวาดซื้อไว้ก่อนแล้วเท่านั้น

น่าสงสารนะครับคนไทยเรา เราโดนหลอก หรือรู้ว่าเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก ท่านผู้อ่านช่วยตอบทีครับ

สมหมาย ภาษี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image