เมื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ละเมิดคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในที่สุดปัญหาเกี่ยวกับตำรวจก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องออกโรงเอง แม้ว่าจะเป็นแต่เพียงการปรารภ และยังมิได้เป็นการสั่งการตามอำนาจหน้าที่ก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับตำรวจในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลและองค์กรที่มีผลงานยอดเยี่ยมและดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดประจำปี 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มิถุนายนนี้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติดว่า อยากให้มีการปรับปรุงรูปแบบการแถลงข่าว โดยไม่ต้องนำตัวผู้ต้องหามานั่งแถลงและให้สื่อมวลชนซักถาม มีเพียงภาพประกอบก็น่าจะเพียงพอแล้ว และไม่ต้องออกมาพูดเลอะเทอะ เพราะผู้ต้องหาไม่มีสิทธิจะพูดกับสื่อ แต่ต้องไปพูดในชั้นศาล นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวด้วยว่า หาก (การเสนอข่าวของสื่อมวลชน) มีผลกระทบกับคดี สื่อมวลชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบด้วย

ก่อนหน้านั้นวันเดียว (วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงชื่อในคำสั่งที่ 0001/(ศปก.ตร.) 96 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2560

ด่วนที่สุด ส่งทางวิทยุถึงจเรตำรวจแห่งชาติ รองและผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการ ผู้บังคับการในสังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกตำรวจ และส่งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เพื่อทราบด้วย

Advertisement

คําสั่งที่ 0001/(ศปก.ตร.) 96 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2560 นั้นอ้างถึงระเบียบเกี่ยวกับการแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชนและการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ซึ่งออกตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 และอ้างถึงคำสั่งซึ่งออกในเดือนมิถุนายน 2560 กำชับแนวทางปฏิบัติในการให้ข่าวและแถลงข่าวตามระเบียบนั้น ทั้งยังอ้างถึงคำสั่งซึ่งออกในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน กำชับการปฏิบัติในการนำตัวผู้ต้องหาไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และการจัดระเบียบสถานที่เกิดเหตุ โดยระบุห้ามนำ จัดให้ หรือยินยอมให้ผู้ต้องหามาให้ข่าว แถลงข่าว หรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนโดยเด็ดขาด และห้ามจัดให้ หรือยินยอม หรืออนุญาตให้บุคคลใดบันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ขณะอยู่ร่วมกับผู้ต้องหา เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อประกอบการสืบสวน สอบสวนดำเนินคดี

คำสั่งฉบับเดียวกันห้ามเจ้าหน้าที่แสดงกิริยาอาการที่อาจทำให้เข้าใจว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับผู้ต้องหา ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่

คำสั่งฉบับนั้นระบุด้วยว่า ให้ทุกหน่วยและผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด หากพบว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม จะถูกพิจารณาข้อบกพร่องทั้งทางวินัยและทางปกครองอย่างเฉียบขาด

Advertisement

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าที่จะออกคำสั่งฉบับดังกล่าวเพียง 2 วัน คือในวันที่ 20 มิถุนายน 2560 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเอง พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนได้นำตัวนายวัฒนา ภุมเรศ ผู้ต้องหาวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ไปแถลงข่าว และในโอกาสนั้นปรากฏว่านอกจากผู้ต้องหาจะได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียงแถลงข่าวด้วยตนเองต่อสื่อมวลชนแล้ว พล.ต.ท. ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังแสดงอาการสนิทสนมกับผู้ต้องหาอย่าง เปิดเผยด้วย

ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจ ไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 30 ว่าด้วยการปฏิบัติเกี่ยวกับให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน และการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์นั้น ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทุกคนควรจะทราบและต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว การนำตัวผู้ต้องหาออกมาแสดงในการแถลงข่าว แล้วมิหนำซ้ำยังยอมให้ผู้ต้องหาใช้เครื่องขยายเสียงและแสดงความสนิทสนมกับผู้ต้องหาอย่างออกหน้าออกตา จึงเป็นการละเมิดคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง

ผมอยากรู้จริงๆ ว่า นายกรัฐมนตรีหรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image