ดราม่าเกิด คนแข่ง ‘มาสเตอร์เชฟ’ ติงผลตัดสิน ฝ่ายผู้ผลิตยันทุกอย่างมีเหตุผล อดทนไม่ได้ก็กลับบ้านไป

ภาพจาก MasterChef Thailand

เพิ่งออกอากาศไปได้ไม่นาน สำหรับรายการ ‘มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์’ ทางช่อง 7 สี ที่ผลิตโดยบริษัทบริษัท เฮลิโคเนีย เอชกรุ๊ป จำกัด โดยล่าสุดมีหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน โพสต์ข้อความลงในเฟซบุค เล่าว่าตนเองเป็นหนึ่งในผู้ไปสมัครเข้าแข่งขันรายการนี้ แต่ตกรอบคัดตัว โดยเขาเล่าเรื่องราวพร้อมตั้งข้อสังเกตุเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้เข้าขันดังกล่าว โดยผู้โพสต์เล่าว่า เคยมีประสบการณ์ทำงานรายการโทรทัศน์ ก่อนตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ที่นั่นได้มีโอกาสทำงานในครัวของร้านอาหาร รวมถึงมีประสบการณ์ด้านอาหารอื่่นๆ

เมื่อรายการ Masterchef เปิดรับ จึงสมัครเข้าร่วม โดยรอบแรกต้องนำอาหารไปเสนอกรรมการ ซึ่งผู้ที่ผ่านรอบนี้จะได้เข้ารอบออดิชั่น ทำอาหารต่อหน้ากรรมการเป็นเวลา 5 นาที รอบนี้แบ่งการแข่งออกเป็น 3 วัน แข่งวันละ 40 คน

“วันที่สองที่ไปส่งเพื่อน audition กลุ่มสุดท้ายรอตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงสี่ทุ่ม เมื่อถึงสี่ทุ่ม กลุ่มสุดท้ายทีมงานมาบอกว่าไม่ต้องไปทำอาหาร 5 นาทีต่อหน้ากรรมการแล้ว

อ้าวววววเฮ้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้……อาหารที่เตรียมไว้ก็ไม่สุกดิ ทำไว้ 70% เหลือ 30% หน้ากรรมการ จบข่าวเนื้อไม่สุกมั้ง

Advertisement

รอจนดึกถูกเทรวมกันตกรอบกันหมดอาหารมันไม่เฟรช ไม่มีทางอร่อยหรอก…. แต่จนถึงวันที่ 3 ที่ตัวเองแข่งจนแล้วจนรอดผ่านได้ผ้ากันเปื้อนมา”

เขาเล่าอีกว่า พอถึงรอบ Skill Test ที่วัดพื้นฐานการใช้อุปกรณ์ ก็ได้โจทย์ให้หั่นขิงแบบเส้นที่เรียกว่า Juliene ขนาด หนา2 มิล และหั่นแบบเต๋า Dice ขนาดครึ่งเซนต์

“Skillกับการใช้มีด หั่นขิง…..โจทย์ที่รายการให้มาไม่เป็นปัญหาอะไร ………แต่งงกับเกณฑ์การตัดสิน
ซึ่งควรมีกฏเกณฑ์คร่าวๆ 1.ควรมีเวลากำหนดว่าให้เวลาหั่นนานแค่ไหนกี่ชมกี่นาที 2.ปริมาณในการหั่น ต้องได้มากน้อยแค่ไหนด้วยการชั่งน้ำหนัก 3.คุณภาพของขิงที่หั่นได้ ต้องได้ขนาดตามที่กรรมการสาธิตให้ดู 4.Skill การใช้มีด การจับมีด ถ้าไม่คล่องหรือมีพื้นฐานมากพอจะให้ผ่านเข้ารอบต่อหรือไม่”

Advertisement

แต่สิ่งที่เจอคือ การให้หั่นมาราธอนไปเรื่อยๆ ยืนหั่นตั้งแต่บ่ายโมงถึงสี่โมงกว่า จนเริ่มล้า เริ่มเมื่อย อีกทั้ง
กรรมการแทบไม่เดินมาดูเลยช่วงท้ายๆ ส่วนเมื่อกรรมการเดินมาถึงก็พยายามควานหาขิงที่หั่นไม่ตรง

“ในความรู้สึกเรา ทำไมไม่หยิบทั้งกองออกมาเลยจับวางๆๆๆๆๆ ถ้ามันหั่นไม่ดีตรงไหน อันไหน หยิบขึ้นมามันก็ไม่ดี แสดงว่าไม่ได้มาตราฐานตามโจทย์กำหนด” เขาบอก

แล้วว่าช่วงที่จะเดินออกจากรายการ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเข้ารอบอีกต่อไป เล่นเกมส์กันแบบนี้ สิ่งที่คนดูไม่เห็น รายการไม่ได้นำเสนอความจริง มีเพียงกรรมการสามคนนี้ เป็นคนตัดสินและมีคนที่เลือกไว้แล้ว”

ทั้งยังว่า สุดท้ายแล้วเขาไม่เสียใจที่ไม่ได้ผ่านเข้ารอบ แต่กลับดีใจ เพราะหากได้ไปต่อ ทำอาหารออกมา แล้วถ้ากรรมการบอกไม่อร่อยก็ไม่มีทางพิสูจน์ให้คนดูทางบ้านรู้

“เพราะเรียลลิตี้ไม่ใช่เรียลลิตี้จริงๆ ไม่ได้แข่งกันที่ความสามารถ แต่แข่งกันที่เรื่องราวของน้ำตา ดราม่าชีวิต เอาคนที่มีเรื่องราวดราม่ามากกว่าฝีมือ ซึ่งคิดว่าจะดึงเรตติ้งได้”

ทั้งนี้เมื่อ ‘มติชนออนไลน์’ ต่อสายตรงไปยังผู้ใช้เฟซบุคดังกล่าว เขาก็บอกก่อนเลยว่า ที่เขียนข้อความดังกล่าวไม่มีเจตนาจะประจานหรือว่าทำลายรายการ แค่อยากพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น

“ผมอยากให้มีเวทีที่มันเรียลจริงๆ ไม่ได้เช็ทหรือเฟคเพื่อเอาเรตติ้ง เลือกคนที่มาจากความสามารถ และไม่อยากให้เอาความฝันของคนมาเหยียบย่ำแบบนี้”

บอกอีกว่าหลังโพสต์ข้อความดังกล่าวไป ก็มีหลายคนที่เข้าร่วมรายการเดียวกัน หลังไมค์มาคุยและส่วนใหญ่มีความรู้สึกคล้ายกับตน ทั้งยังยืนยันว่า ไม่ได้โกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ผมเฉยๆ แต่อยากบอกเป็นวิทยาทานกับคนอื่น ว่าเจออะไรมา แล้วถ้ามีรายการแบบนี้เราควรจะไปมั้ย”

ในส่วนของการเซ็นสัญญากับทางรายการว่าจะไม่เอาเรื่องในรายการออกมาพูดเขาก็บอกว่า เฉพาะคนที่เข้ารอบ 16 คนเท่านั้นที่เซ็นไป ส่วนสิ่งที่ตนโพสต์ไปถ้าจะถูกฟ้องก็ไม่กลัว เพราะพูดในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้ยกเมฆ

กับการที่คนจะมองว่าแพ้แล้วพาล ตกรอบถึงได้ออกมาโพสต์ให้รายการเสียหาย เขาว่าก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็จริงใจกับสิ่งที่เขียนออกมา และจริงๆ ไม่อยากเขียนด้วยซ้ำเพราะไม่อยากช่วยให้รายการดังขึ้นมา

ทางด้าน หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ บิ๊กบอสบริษัท เฮลิโคเนีย เอชกรุ๊ป จำกัด ก็เปิดใจกับ ‘มติชนออนไลน์’ เช่นกันว่า เข้าใจได้เรื่องคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกจะรู้สึกไม่พอใจ และคิดไปต่างๆนานา ซึ่งตั้งแต่ทำรายการโทรทัศน์มาหลายๆรายการเจอลักษณะนี้ตลอด อย่างไรก็ตามยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามเกณฑ์ โดยที่ให้หั่นขิงเป็นชั่วโมงๆนั้น ถ้าไปดูรายการของต่างประเทศ เขาก็ให้หั่นนานเช่นนี้ เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นแอปเปิ้ลหรือหอม ส่วนของไทยตั้งใจให้เป็นขิง ซึ่งเป็นของไทยมากกว่า

“การให้หั่นนานเป็นชั่วโมง ก็เป็นการทดสอบความอดทน เพราะเชฟต้องทำงานในครัวหลายๆ ชั่วโมง ถ้าไม่มีความอดทนเพียงพอก็เป็นเชฟไม่ได้” เขากล่าว

และว่า “ต้องทำความเข้าใจว่านี่ไม่ใช่รายการประกวดทำอาหาร แต่เราคัดสรรคนที่จะเข้ามาเป็นเชฟอย่างจริงจัง ทุกอย่างที่ทำเราจึงต้องมีการทดสอบ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องความอดทนด้วย ถ้าบอกว่าหั่นเป็นชั่วโมงแต่กรรมการไม่เดินมาดูเลย ถ้าคิดแบบนั้นก็ขอให้กลับบ้านไป”

หนุ่ม-กิติกร ยังพูดเรื่องที่ผู้เข้าแข่งขันพูดถึงความสามารถในการหั่นขิงว่า

“เรื่องสวยไม่สวยใครเป็นคนบอก แล้วจุดสำคัญคือต้องดูที่ภาพรวม การพูดแบบนั้นถือว่าไม่แฟร์เหมือนกัน กรรมการทุกคนดูตลอดว่าใครเหมาะหรือไม่ ดูทุกอย่างตั้งแต่สกิลการใช้มีด สกิลการหั่น ดูรายละเอียดทุกอย่าง”

ส่วนที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะมีการล็อค เลือกคนที่จะเข้ารอบอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็ว่า “เรื่องแบบนี้ใครจะพูดยังไงก็ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีพูดว่าเราคัดแต่คนหน้าตาดีไว้ในรายการ แต่อยากให้ไปดูว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือ คนหน้าตาดีมากก็ตกรอบไปแล้ว แล้วก็มีชาวเขาที่ถ้าเราเลือกเขาไว้ ก็น่าจะเป็นสีสันของรายการได้ แต่เมื่อเขาทำไม่ได้ก็ตกรอบไป”

ในฐานะคนทำ เขายังบอกอีกว่า ทุ่มเทกับการทำรายการนี้มาก ตั้งใจเต็มที่

“ดังนั้นเราคงไม่เอาเรื่องเล็กน้อย อย่างเรื่องการมาร์คคนที่ต้องการมาทำให้รายการเสียหาย ประเด็นเล็กน้อยที่ทำให้เกิดผลเสียกับรายการเราคงไม่ทำ”

ส่วนข้อความที่มีผู้โพสต์ดังกล่าว เขาก็ว่าความจริงมีการเซ็นสัญญากับทุกคนที่เข้าร่วมรายการแล้ว ว่าจะไม่เอารายละเอียดของรายการออกมาพูดข้างนอก เพราะนั่นถือเป็นทรัพย์สินของรายการ ตัวแบรนด์รายการก็เป็นทรัพย์สินเช่นกัน

“ตอนนี้เราคงไม่ทำอะไร แต่ถ้าพูดในทางที่เสียหายก็ต้องรอดู”เขากล่าวในที่สุด

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image