“เพื่อไทย” ส่ง จม.ถึง กรธ. ค้านไพรมารีโหวต ชี้มีปัญหามากในทางปฏิบัติ

แฟ้มภาพ

“เพื่อไทย” ส่ง จม.ถึง กรธ. ค้านปมไพรมารี่โหวต ขอ กรธ.ทบทวนเพื่อให้การบังคับใช้ กม.ไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ-ไม่มีปัญหาอุปสรรคต่อการส่งผู้สมัคร

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ส่งหนังสือถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เรื่อง ขอให้พิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. … ในบางมาตรา โดยหนังสือระบุว่า ตามที่ สนช.ได้มีมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. … เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระสำคัญบางประการที่แตกต่างจากร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ให้นำระบบการคัดเลือกผู้สมัครขั้นต้น (Primary Vote) มาใช้ การจัดตั้งสาขาของพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ซึ่งหลายพรรคการเมืองได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในทางปฏิบัติอันจะส่งผลต่อการจัดส่งผู้สมัครของพรรคการเมือง พรรค พท.เห็นว่าหลักการให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในทางการเมืองกับพรรคซึ่งรวมถึงการคัดเลือกผู้สมัครนั้นเป็นสิ่งที่ดี และเป็นไปตามเจตนารมณ์ในการจัดตั้งพรรคการเมืองแต่วิธีการมีส่วนร่วมนั้นทำได้หลายวิธี ข้อสำคัญคือ วิธีการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับสภาพของความเป็นจริงของสภาพการณ์ทางการเมืองและระบบพรรคการเมืองที่เป็นอยู่ และต้องไม่ก่อให้เกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อการส่งผู้สมัครของพรรคการเมืองด้วย ซึ่งพรรค พท.เห็นว่าระบบคัดเลือกผู้สมัครขั้นต้น (Primary Vote) ตามร่างที่ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีปัญหาที่ควรต้องพิจารณาดังนี้

1.การบริหารพรรคการเมืองผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการบริหารและต่อสมาชิกพรรคคือคณะกรรมการบริหารพรรค หากเกิดความผิดพลาดขึ้น กฎหมายได้กำหนดบทลงโทษอย่างหนัก ทั้งโทษทางอาญา ทางแพ่ง ทางปกครอง รวมถึงการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง การคัดเลือกผู้สมัครโดยปกติพรรคต้องพิจารณาจากผู้มีความประพฤติที่ดี มีความรู้ความสามารถในการสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเดิมพรรคก็มีกระบวนการสรรหาโดยผ่านคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครและคณะกรรมการบริหารร่วมกัน โดยมีการพิจารณารับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกและประชาชนในพื้นที่อยู่แล้วว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้สมัครของพรรคเพราะสุดท้ายแล้วประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้ง หากพรรคส่งบุคคลที่ประชาชนในพื้นที่ไม่เห็นด้วย ผู้นั้นก็จะไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่การให้สิทธิค่อนข้างเด็ดขาดแก่สาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัดซึ่งมีสมาชิกที่มีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัครเพียง 100 คน กรณีของสาขา และ 50 คน กรณีตัวแทนประจำจังหวัดนั้น อาจเป็นการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่ทั่วถึงทำให้เกิดกรณีที่สมาชิกพรรคที่ต้องการลงสมัครจัดตั้งสมาชิกซึ่งสนับสนุนตนเองเพื่อมาลงคะแนนเลือกตนได้ง่าย ทั้งที่บุคคลดังกล่าวอาจไม่มีความเหมาะสมเพียงพอในการเป็นตัวแทนของพรรคในการสมัครรับเลือกตั้ง แต่วิธีการคัดเลือกผู้สมัครตามร่างเดิมของ กรธ.นั้นมีความสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและไม่ก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะได้ให้ทุกภาคส่วนในพรรคมีส่วนร่วม โดยคณะกรรมการบริหารพรรคและคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครร่วมกันคัดเลือกผู้สมัครซึ่งคณะกรรมการบริหารนั้นได้รับเลือกมาจากสมาชิกพรรค ส่วนคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครนั้นก็เลือกโดยที่ประชุมใหญ่ของพรรค ซึ่งประกอบไปด้วย กรรมการบริหาร สาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดและสมาชิกพรรค อันจะทำให้การคัดเลือกผู้สมัครมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและมีเหตุผลมากกว่าที่จะปล่อยให้มีการเลือกตั้งกันเองเฉพาะของสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัด

หนังสือระบุอีกว่า 2.การคัดเลือกขั้นต้น (Primary Vote) นั้น มีกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง เพราะผู้สมัครต้องดำเนินการโดยสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัดทุกแห่ง อาจทำให้เกิดปัญหาที่พรรคสรรหาผู้สมัครได้ไม่ทันกำหนดเวลารับสมัครของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และอาจมีกรณีร้องเรียนว่าผู้สมัครไม่ได้รับการสรรหาที่ถูกต้อง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งอาจพิจารณาไม่รับผู้นั้นเป็นผู้สมัครทำให้พรรคต้องเสียโอกาสในการส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นได้ 3.บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสาขาพรรคการเมืองในบางมาตรา เช่น มาตรา 33 และขั้นตอนการเลือกผู้สมัคร ส.ส. เขตในร่างมาตรา 35, 47, 49/1 และ 49/2 ไม่ชัดเจน ก่อให้เกิดการตีความที่สับสน โดยมีปัญหาดังนี้ 3.1) ร่างมาตรา 33 บัญญัติว่า “ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียน พรรคการเมืองต้องดำเนินการจัดให้มีสาขาพรรคการเมืองในแต่ละภาคตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่คณะกรรมการกำหนดอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขา โดยสาขาพรรคการเมืองแต่ละสาขาต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของสาขาตั้งแต่ห้าร้อยคนขึ้นไป การใช้ถ้อยคำว่า “สมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสาขา” แสดงว่าในจังหวัดหนึ่งอาจมีสาขาพรรคการเมืองได้หลายสาขา และสาขาพรรคการเมืองสาขาหนึ่งอาจมีเขตพื้นที่รับผิดชอบคลุมพื้นที่เพียงบางส่วนของจังหวัด หรือคลุมพื้นที่หลายจังหวัด หรือคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดกับบางอำเภอของจังหวัดอื่น หรือคลุมพื้นที่บางอำเภอของหลายจังหวัด แต่หากประสงค์ให้สาขาพรรคการเมืองมีเขตพื้นที่รับผิดชอบทั้งจังหวัดเพียงจังหวัดเดียวหรือบางส่วนของจังหวัดเพียงจังหวัดเดียว ก็ต้องระบุให้ชัดเจนในมาตราที่บัญญัติเกี่ยวกับสาขาพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้การร่างมาตรา 35 และมาตรา 49/1 ในส่วนของการเลือกผู้สมัครหมดปัญหาความคลุมเครือด้วย

Advertisement

หนังสือระบุอีกว่า 3.2) ในจังหวัดที่ไม่ใช่ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่หรือสาขาของพรรคการเมือง คณะกรรมการร่างฯ กำหนดให้มีตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในจังหวัดนั้น แทนสำนักงานใหญ่หรือสาขาพรรคการเมืองที่ดูแลการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในจังหวัดที่ตั้งทั้งจังหวัด แต่ สนช.แก้ไขเป็นทำนองให้มีตัวแทนพรรคการเมืองประจำเขตเลือกตั้ง โดยไม่ระบุว่าในเขตเลือกตั้งหนึ่งให้มีตัวแทนกี่คน และยังคงใช้ชื่อว่าตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ซึ่งมีปัญหาทางปฏิบัติมากเนื่องจากในบางช่วงยังไม่มีการกำหนดเขตเลือกตั้งเลย และเขตเลือกตั้งที่กำหนดไว้ก็เปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ ต่างจากเขตจังหวัดซึ่งจะคงเดิมตลอดไปหากไม่มีการตั้งจังหวัดใหม่ ส่งผลให้จำนวนสมาชิกที่มีภูมิลำเนาในเขตเลือกตั้งที่เคยเกิน 100 คน อาจลดลงต่ำกว่าเพราะการเปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้ง และยังกระทบถึงสัดส่วนผู้เข้าประชุมใหญ่ตามร่างมาตรา 39 เพราะตัวแทนพรรคการเมืองประจำเขตเลือกตั้งมีได้เกือบ 350 คน นอกจากนี้ทำให้พรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั่วทุกเขตเลือกตั้งต้องหาสมาชิกรวมกันประมาณกว่า 35,000 คนขึ้นไป ซึ่งเป็นภาระมากแก่พรรคการเมืองใหม่และพรรคการเมืองขนาดเล็ก ทั้งจะส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งต่างๆในจังหวัดเดียวกันขาดเอกภาพ ร่างมาตรา 35 บัญญัติว่า “เขตเลือกตั้งในจังหวัดใดที่มิได้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสาขาพรรคการเมือง ถ้าพรรคการเมืองนั้นมีสมาชิกซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งในจังหวัดนั้นเกินหนึ่งร้อยคน ให้พรรคการเมืองนั้นแต่งตั้งสมาชิกซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งในจังหวัดนั้นซึ่งมาจากการเลือกของสมาชิกดังกล่าวเป็นตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดเพื่อดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในเขตพื้นที่รับผิดชอบนั้น และให้นำความในมาตรา 34 มาใช้บังคับแก่ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดด้วยโดยอนุโลม” ประเด็นคือ จังหวัดที่เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสาขาพรรคการเมืองไม่ต้องมีตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดในเขตเลือกตั้งใดๆ ในจังหวัดนั้นใช่หรือไม่ ตัวแทนพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งใดต้องมีภูมิลำเนาในเขตเลือกตั้งนั้นใช่หรือไม่ และการประชุมสมาชิกเพื่อเลือกผู้สมัครตามที่บัญญัติไว้ในร่างมาตรา 49/1 ในจังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งหลายเขต ให้แยกประชุมเป็นรายเขตเลือกตั้งใช่หรือไม่ หากใช่ก็ควรแก้ร่างมาตรา 35 โดยใช้ถ้อยคำดังนี้ “ในจังหวัดที่มิได้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสาขาพรรคการเมือง ถ้าพรรคการเมืองนั้นมีสมาชิกซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งใดในจังหวัดนั้นเกินหนึ่งร้อยคน ให้พรรคการเมืองแต่งตั้งสมาชิกซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งนั้นซึ่งมาจากการเลือกของสมาชิกดังกล่าวเป็นตัวแทนพรรคการเมืองประจำเขตเลือกตั้งเพื่อดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในเขตเลือกตั้งนั้นและให้นำความในมาตรา 34 มาใช้บังคับแก่ตัวแทนพรรคการเมืองประจำเขตเลือกตั้งด้วยโดยอนุโลม”

หนังสือระบุต่อว่า นอกจากนี้ก็ต้องแก้ไขร่างมาตรา 49/1 และ 49/2 ให้รับกับการแก้ไขร่างมาตรา 35 ข้างต้น โดยเฉพาะต้องแก้ไขถ้อยคำ “การประชุมตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด” เป็น “การประชุมสมาชิกในเขตเลือกตั้ง” เนื่องจากเป็นการประชุมสมาชิกที่จัดโดยตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด มิใช่การที่ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดมาประชุมกัน การแก้ไขแบบนี้ต้องเปลี่ยนคำว่า “ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด” ในมาตราอื่นเป็น “ตัวแทนพรรคการเมืองประจำเขตเลือกตั้ง” ด้วย อย่างไรก็ตาม ควรแก้ไขร่างมาตรา 35 และมาตราที่เกี่ยวข้องกลับไปตามร่างเดิมของคณะกรรมการร่างฯซึ่งมีเหตุผลดีกว่า ในกรณีที่กรรมาธิการร่วมยังยืนยันให้มีตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด แต่การประชุมสมาชิกเพื่อเลือกผู้สมัคร ในจังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งหลายเขต ให้ประชุมรวมทั้งจังหวัดเช่นเดียวกับจังหวัดที่มีสาขาพรรคการเมือง โดยสมาชิกที่มีภูมิลำเนาในเขตเลือกตั้งใดมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครของทุกเขตเลือกตั้ง ก็ต้องแก้ไขร่างมาตรา 49/1 และ 49/2 ให้ชัดเจนและสอดคล้องกัน ให้ตัวแทนพรรคการเมืองประจำเขตเลือกตั้งในจังหวัดร่วมกันจัดการประชุมสมาชิกในเขตจังหวัดนั้น

“พรรค พท.หวังว่า เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติและไม่มีปัญหาอุปสรรคต่อการส่งผู้สมัครและการจัดการเลือกตั้ง มีความเป็นธรรมแก่ทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตั้ง กมธ.ร่วมกันเพื่อพิจารณาทบทวนแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้มีความเหมาะสมต่อไป” หนังสือระบุ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image