ที่มา | คอลัมน์ สุวรรณภูมิในอาเซียน หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ อดีตอาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร |
เผยแพร่ |
คลิกอ่าน สุจิตต์ วงษ์เทศ : สองมาตรฐาน หรือ ไร้มาตรฐาน?
พระเจ้าอโศกไม่เคยส่งพระสงฆ์ไปเผยแผ่พุทธศาสนาถึงสุวรรณภูมิ เพราะไม่พบหลักฐานเป็นข้อความในศิลาจารึกสมัยของพระองค์
พระเจ้าอโศกครองราชสมบัติเมืองปาฏลีบุตรในชมพูทวีป (อินเดีย) ระหว่าง พ.ศ. 218-260
ในไทย ขณะนั้นมีชุมชนระดับเมืองขนาดใหญ่ บริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ได้แก่
เมืองอู่ทอง (อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี) มีเทคโนโลยีก้าวหน้า สามารถถลุงโลหะสำริดเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หลากหลายแล้ว เช่น แหล่งสำริดบ้านดอนตาเพชร (อ. พนมทวน จ. กาญจนบุรี) ฯลฯ
เอกสารที่ระบุว่าพระเจ้าอโศกส่งพระสงฆ์ 2 รูป (โสณเถระกับอุตตรเถระ) ไปเผยแผ่พุทธศาสนาถึงสุวรรณภูมิ คือ หนังสือมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา แต่งโดยนักปราชญ์ราชสำนักสิงหล ราว พ.ศ. 1000 [หรือ 700 ปี หลังยุคพระเจ้าอโศก]
ไม่ใช่เอกสารยุคพระเจ้าอโศกแห่งชมพูทวีป (อินเดีย) แต่เป็นงานวรรณกรรม ยอพระเกียรติกษัตริย์สิงหลแห่งลังกาทวีป (ศรีลังกา) ยุค พ.ศ. 1000 ว่าสืบทอดความเป็นจักรพรรดิราชจากพระเจ้าอโศก ยุค พ.ศ. 200
พระเจ้าอโศก ในมหาวงศ์ พงศาวดารลังกา
มีชื่อของพระเถระทั้งสอง (พระโสณเถระและพระอุตตรเถระ) อยู่ในจารึกของพระเจ้าอโศกเมื่อช่วงศตวรรษของ พ.ศ. 200 ซ้ำยังมีการขุดค้นทางโบราณคดีจนพบพระธาตุของพระโสณเถระ และพระอุตตรเถระจากสถูปเก่าแก่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียอีกด้วยก็ตาม
แต่จารึกของพระเจ้าอโศกนี้ไม่เคยกล่าวว่าส่งมหาเถระทั้งสองมาเป็นสมณทูตยังสุวรรณภูมิเลย ทั้งๆ ที่โดยปกติแล้ว เมื่อพระเจ้าอโศกได้ทรงส่งสมณทูตไปยังดินแดนแห่งใด ก็มักจะทรงจัดทำจารึกระบุไว้อย่างชัดเจนเสมอ
หลักฐานเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการที่พระเจ้าอโศกได้ทรงส่งสมณทูตมายังสุวรรณภูมิมีระบุอยู่ใน “มหาวงศ์” พงศาวดารลังกาทวีป ที่มีอายุอ่อนลงมากว่ารัชสมัยของพระองค์อีกมากคือถัดมาอีกราว 700 ปีเศษ หรือเมื่อเกือบ พ.ศ. 1000 แล้วต่างหาก
เช่นเดียวกับหลักฐานในสมันตปาสาทิกา (แต่งขึ้นที่เมืองอนุราธปุระ ในลังกา) ซึ่งเป็นคัมภีร์รุ่นอรรถกถา (พระวินัยปิฏก) ที่ระบุถึงเรื่องพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระมาสุวรรณภูมิ ก็เป็นคัมภีร์มีอายุอยู่ในช่วงไล่เลี่ยกับคัมภีร์มหาวงศ์เท่านั้น
พูดง่ายๆ อีกทีหนึ่งก็ได้ว่า เรื่องพระเจ้าอโศกส่งพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ มาเผยแผ่พุทธศาสนายังสุวรรณภูมิ เป็นสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1000 โดยอ้างอิงถึงตัวละครที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ แต่ตัวละครเหล่านั้นไม่เคยเดินทางไปยังสุวรรณภูมิ
ดังนั้นการที่ใครจะอ้างว่า มีวัดหรืออะไรก็ตามในพื้นที่ประเทศไทย (และรวมทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ที่ในสมัยโบราณแขกอินเดียเขาเรียกว่า สุวรรณภูมินี้) ที่สร้างขึ้นโดยพระสมณทูตทั้งสอง ที่พระเจ้าอโศกส่งมานั้น จึงเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ก็ในเมื่อพวกท่านทั้งสองไม่เคยธุดงค์เฉียดมาถึงอู่ทอง นครปฐม หรือชุมชนโบราณแห่งไหนละแวกนี้เลย
(สรุปย่อจากบทความเรื่อง พระเจ้าอโศกไม่เคยส่งสมณทูตมาสุวรรณภูมิ เขาทำเทียม ที่เมืองอู่ทอง ก็ไม่ใช่วัดแห่งแรกของไทยในยุคพระเจ้าอโศก โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ พิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 28 เม.ย.-4 พ.ค. 2560 หน้า 82)
สมณทูตของพระเจ้าอโศก
ถูกสร้างให้น่าเชื่อถือในเมืองมอญ
มหาวงศ์ หนังสือพงศาวดารของลังกาทวีป ระบุว่าพระเจ้าอโศกได้ส่งสมณทูตคือ พระโสณเถระและพระอุตตระเถระไปสุวรรณภูมิ อันเป็นที่มาของการเกิดความพยายามจะระบุว่าพื้นที่แห่งใดในภูมิภาคอุษาคเนย์กันแน่ ที่พระสมณทูตทั้งสองได้จาริกมาถึง?
แม้ว่าหนังสือมหาวงศ์จะแต่งขึ้นเมื่อราว พ.ศ.1000 นับเป็นเวลาหลังยุคของพระเจ้าอโศกราว 700 กว่าปี และไม่มีหลักฐานใดในสมัยของพระเจ้าอโศกที่ระบุเรื่องราวข้างต้นเลยสักนิด แต่ก็ดูเหมือนว่านิทานเรื่องนี้จะมีพลังในหมู่ชาวพุทธของอุษาคเนย์ สำหรับใช้เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
จารึกกัลยาณี ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์มอญที่ทรงพระนามว่า พระเจ้าธรรมเจดีย์ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2013-2035) ระบุว่าสุวรรณภูมิที่สมณทูตของพระเจ้าอโศกทั้งสององค์นั้นมาถึงก็คือ พื้นที่ที่เรียกว่า Golamattika (โกละมัททิกะ)? หรือ Taikkala (เทียกกะละ?) แถวๆ หมู่บ้าน Ayetthema (อเยทธมา?) ตรงตีนเนินเขา Kelasa (เกลาศะ?) ห่างจากตัวเมืองสะเทิมในปัจจุบันไปราว 30 ไมล์
[ควรสังเกตด้วยว่า ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น พระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงครองสมณเพศเป็นพระภิกษุ และเมื่อหลังจากครองราชย์แล้วพระองค์ก็ทรงปฏิรูปพระพุทธศาสนาของมอญขนานใหญ่ โดยหลักฐานสำคัญที่เล่าเกี่ยวกับการปฏิรูปดังกล่าวของพระองค์ ก็ถูกเล่าเอาไว้ในจารึกกัลยาณี ที่อ้างว่าพระเจ้าอโศกส่งสมณทูตมาที่แถวๆ เมืองสะเทิม อันเป็นเมืองโบราณของพวกมอญนี่เอง]
ไม่ว่าเบื้องหลังพระราชดำริของพระเจ้าธรรมเจดีย์ เกี่ยวกับเรื่องสมณทูตของพระเจ้าอโศกจะเป็นอย่างไรก็ตาม (แน่นอนว่าอาจจะมีชาวมอญคนอื่นคิดเช่นนี้มาก่อนพระเจ้าธรรมเจดีย์ก็ได้) แต่แนวคิดดังกล่าวก็ฝังรากให้ชาวมอญมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสมณทูตของพระเจ้าอโศกที่ฝังรากลึกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว จนเกิดความพยายามในการสร้างเครื่องรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในครั้งนั้น เช่น จารึกที่วัดเกละตะมี
รวมทั้งรูปปั้นของพระโสณเถระและพระอุตตระเถระ ที่หน้าเจดีย์กุลตินาโหย่งที่เมืองสะเทิมในยุคหลัง เป็นต้น
โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ อดีตอาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
พุทธศาสนา ไม่เคยเป็นศาสนาประจำชาติ
พุทธศาสนา ไม่เคยเป็นศาสนาประจำชาติของไทยมาแต่ยุคแรกเริ่ม
เพราะพบหลักฐานว่ามีทั้งศาสนาผี ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ปะปนอยู่ด้วยกันในเมืองอู่ทอง ต้นทางประวัติศาสตร์ไทย ศรีศักร วัลลิโภดม บอกว่า
“เมืองอู่ทองที่เป็นเมืองแรกเริ่ม—-บรรดาศาสนสถานที่พบนั้น ล้วนแสดงให้เห็นว่ามีทั้งศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน อันแสดงให้เห็นว่าทั้งผู้คนที่มาจากภายนอกและคนที่อยู่ภายในนั้น มีหลายศาสนาอยู่ด้วยกัน”
[จากหนังสือ ประวัติศาสตร์โบราณคดี : เมืองอู่ทอง ของ ศรีศักร วัลลิโภดม สำนักพิมพ์เมืองโบราณ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2549 หน้า 81]
ศาสนาผี เป็นศาสนาประจำชาติ
“ผี พราหมณ์ พุทธ” ก็คือศาสนาไทย
คือศาสนาผีรับเอาพราหมณ์และพุทธที่ไม่ขัดกับหลักผีไว้เป็นศาสนาของตน”
[สรุปจาก บทความเรื่องศาสนาผี ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใน มติชน สุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21-27 ตุลาคม 2554 หน้า 28-29]